ฉันต้องกินนมอะไรกันแน่เนี่ย
ไหนๆช่วงนี้มีซีรีย์นมๆ ออกมาต่อเนื่อง แต่สิ่งนึงที่สร้างความกระวนกระวายใจให้มวลชนคือ “ตายแล้ว ทีนี้จะต้องกินนมอะไรหละเนี่ย” “ชั้นแพ้นมวัวจะทำยังไง” หือแม้แต่ “จะทำยังไงดี จะกินนมอะไรดี แย่แล้วแย่แล้ว”
กูจะบ้าอยู่แล้ว มีข่าวทุกวัน ตกลงกูจะต้องกินนมอะไรกันวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย
ลองนั่งนิ่งๆแล้วย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นไหมครับว่า เรากระวีกระวาด กระวนกระวาย ในการต้องหานมมาดื่มกันเพราะอะไร เราต้องการประโยชน์อันใดจากนมกันหรือ ลองเปรียบเทียบภาพ คนโดน call center หลอกให้โอนเงินไปแล้วก้อนนึง แล้วต้องทำทุกวิถีทางในการโอนเพิ่มไปให้เพื่อจะเอาเงินคืน มันกระวีกระวาด จนลืมฉุกคิดอะไรไปไหมครับ
เราดื่มนมไป “ทำไม” เรา “จำเป็น” ต้องดื่มนมขนาดนั้นเลยเหรอ
เราลองข้ามเรื่องกระตุ้นมะเร็งมะเริงอะไรไปเลยนะ เอาแค่ย้อนโบราณก่อนเลย เอาแบบสะอ๊าดดด สะอาด มาวัดกันที่สารอาหารเลย แบบปีเตอร์ เดนแมน ต่อยท้องกันหมัดต่อหมัดเลย
พอมีคนบอกว่านมวัวไม่ดี ก็ต้องวิ่งหานมพืช
พอบอกนมพืช1 ไม่ดี ก็ต้องวิ่งหานมพืช2
พอบอกนมพืช2 ไม่ดี ก็ต้องวิ่งวุ่นตายละ ว่าตกลงนมอะไรที่ดีกันนะ โอ้ยยยยย
นมไหนดีที่สุดนะ กูจะตายแล้ว ต้องกินนมอะไรกันแน่เนี่ยยยยยย
เบื้องหลังที่แท้จริงของ นม
ลองดูตารางนี้ครับ
ผมเทียบกับพวกของง่ายๆให้ดูเลย ยังไม่ขยับไปเนื้อแดง ตับ ม้าม ซึ่งเป็นสุดยอดสารอาหารของโลกที่แท้จริงเลยครับ แค่ไข่ง่อยๆ นมก็สู้ลำบากแล้ว
คำถามก่อนคำถามใดๆทั้งมวลเกี่ยวกับนม คือ เราเคยเอาสารอาหารมาแบชัดๆไหม
ถ้าคุณบอกว่า “ต้อง” ดื่มนมเพื่อความแข็งแรง
ถ้าคุณบอกว่า “ต้อง” ดื่มนมเพื่อสารอาหารที่ดี
ถ้าคุณบอกว่า “ต้อง” ดื่มนมเพราะนมคือของดีที่สุดในโลก
Hold on ก่อนสาว ฟรีซที่คำว่า “ต้องกินนม” ก่อนเลยไหม ต้นตอของไอ้คำนี้มันเข้าหัวเธอมาเมื่อไร
ต้องย้อนกลับไปยุค 19xx (อีกแล้ว) ลามมาจนสงครามโลก โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่2 ที่ต้องมีการผลิตอาหารที่มีโปรตีนและคาร์บ ย่อส่วนได้ และเก็บได้นาน นั่นเป็นที่มาของนมผง นมข้นหวานแบบของแท้ที่ไม่ได้ใช้น้ำมันปาล์ม เพราะทหารต้องการพลังงานสูง และโปรตีนเพื่อซ่อมบาดแผล นั่นทำให้ต้องปั่นวงการโคนม ให้ผลิตมากๆ
แต่แล้วพอตลาดมันล้นมากๆประกอบกับสงครามสงบ ดัชนีค่าครองชีพก็ปั่นห่วน ผลผลิตไม่มีตลาดรองรับ การเงินเศรษฐกิจ ค่าอาหารผันผวน ทำให้รัฐบาลต้องสร้างตลาดนม ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อตอบสนองเกษตรกร นำโดย USDA หรือ กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา เขาก็ค้นหาว่าจะทำให้ตลาดใหญ่พอที่จะรองรับนมล้นๆได้ยังไง
และในยุคนั้นมักจะมาพร้อมกับ วิจัยอะไรสักฉบับไปค้นๆเอา แล้วมีนักวิทยาศาสตร์มายอมรับว่าไม่ผิด(จริงไหมไม่บอกนะ) แล้วก็มีนักธุรกิจโฆษณาช่วยประโคม จบด้วยรัฐบาลออกนโยบายสนับสนุน สิ่งที่เขาทำกับนมคือ ไปค้นหาเปรียบเทียบตัวเลข เอาตัวเลขมาขยายให้ใหญ่โต และให้รัฐบาลจัดนมเป็นตัวบังคับให้สถานศึกษาบรรจุเป็นอาหารสำหรับเด็ก
รายละเอียดูในคลิปชัดกว่าครับ
นั่นทำให้นม ถูกฝังหัวว่าเป็นสิ่งจำเป็น ขาดแล้วจะส่งผลกับชีวิต ทั้งที่เราดูสารอาหารแล้วไม่ได้ดีเด่นไปกว่าไข่ไก่สักเท่าไร แต่ความหวาดกลัวในการไม่ได้ดื่มนม ความหวาดกลัวที่จะไม่แข็งแรง ด้วยข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ มันก็ส่งต่อความหวาดกลัวนั้นสู่รุ่นต่อๆมา ถึงทุกวันนี้
แม้ว่าทุกวันนี้ ปิรามิด โภชนาการจะถูกทำลายไปแล้วก็ตาม แต่ของเล่นใหม่ของ usda ก็มาในรูปแบบ myplate ก็ยังตามมาหลอกหลอนด้วยการแยก แดรี (นม) ออกมาในสัดส่วนที่บังคับกินอยู่ดี ควบคู่กับ ธัญพืช (grain)
นั่นคือสิ่งที่เราไม่เคยหยุดคิดสักนิดว่า ถ้าไม่ได้กินนมแล้วจะไม่แข็งแรงจริงหรือ ถ้าไม่กินนมแล้วจะขาดสารอาหารจริงหรือ เขาบังคับก็ต้องกิน เราก็ดันเชื่อว่าต้องกิน ปัญหาอยู่ที่อะไรนะ???
แล้วความกลัวนี้ ก็มาหลอกหลอนด้วยการหาทางออกว่า งั้นนมทางเลือกใช้ได้ไหม ฉันแพ้นมวัว ฉันเห็นว่านมวัวไม่ดีบางวิทยาศาสตร์บอกว่าจะเป็นมะเร็ง นมอะไรดี นมอะไรดี
แล้วนมทางเลือกหล่ะ
ยังคงต้องตอบคำถามเดิมก่อนจะเดินกันต่อครับ
เราดื่มนมไป “ทำไม” เรา “จำเป็น” ต้องดื่มนมขนาดนั้นเลยเหรอ
ตราบใดที่คุณยังไม่ unlock unlearn relearn ก็ไม่สามารถหลุดจากวงโคจรนี้ไปได้ครับ เพราะคุณยังกินเพราะความกลัว ไม่ได้กินเพราะความเข้าใจว่าอยากได้อะไรจากมันกันแน่
งั้นเรามาดูเรื่องนมพืชกัน
เค้าจะใช้คำว่านมทางเลือก ให้มันดูมีความรุ้ ดูมีโภชนาการ ดูฉลาดนั่นแหละ แล้วมันฉลาดจริงไหม คำตอบคือจริงครับ คนที่ฉลาดคือคนคิดนะ
เริ่มจากนมโอ้ต ซึ่งสมัยนี้ทาง EU ห้ามเรียกว่านมไปเรียบร้อยแล้ว ความคิดเรื่องของเหลวขาวๆสามารถเรียกนมได้ มันเชยไปแล้วครับ เป็นความคิดที่สมัยใหม่เขาจะปรับเพื่อให้เข้าใจกันชัดๆแล้ว
นมโอ้ต เกิดมาเพื่อเก็บเกี่ยวตลาดของคนที่แพ้แลคโตส ซึ่งมีปริมาณมากกว่าคนที่ย่อยแลคโตสได้ มันเป็นตลาดที่มูลค่ามหาศาล การสร้างสินค้าเพื่อมาเก็บเกี่ยวช่องนี้จะต้องเป็นสินค้าที่เทียบเท่าทุกประการหรือดีกว่า นมวัว เท่านั้น จึงจะมาแย่งชิงมูลค่าตลาดนี้ไปได้
ซึ่งจุดนี้ไม่มีนมพืชไหนที่ทำได้โดยธรรมชาติ
หมายถึงอะไร?
การทำนมพืชคือการปั่น คั้น มันจะต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบ มีการแยกกากออกไปเพื่อให้ได้เป็นของเหลวใสพอที่จะดื่มได้แบบไม่ฝืดไม่หนักคอ พอคาแรคเตอร์มันโดนบังคับมาแบบนั้น ลำพังสารอาหารในพืชที่ต่ำอยู่แล้วก็ยิ่งต่ำลงไปอีก ทำให้ 1แก้วของน้ำคั้นพืชแท้ๆผสมน้ำ จึงไม่สามารถเทียบเท่านมวัวได้เลย
ดังนั้น แร่ธาตุวิตามินต่างๆ ที่เราเห็นในฉลากโภชนาการ มันจึงเป็นวิตามินผง ที่เติมลงไป เอาจริงๆก็ไม่ต่างกับการกินวิตามินเม็ดๆนั่นหละครับ ซึ่งจุดนี้ก็ต้องไปเบิกเนตรเรื่องวิตามินอุตสาหกรรมอีกมหากาพย์นึงเลย เพราะหากคนบนโลกยังให้คุณค่า วิตามินเม็ด สารสกัดออกมาจากธรรมชาติ ผงชงต่างๆว่าวิเศษอยู่ จุดนี้ที่เขาเทลงไปในน้ำพืช จึงคุยกันยาวครับ เอาเป็นว่า ณ จุดนี้คือ รับรู้ไว้ว่ามันคือเติมผงลงไปชง ไม่ใช่วิตามินที่มาจากพืชนั้นๆเต็มๆ (โปรดสละเวลาไปค้นคว้าเรื่องวิตามินเม็ด กับ วิตามินธรรมชาติแท้ๆ จะได้คุยกันรู้เรื่องครับ)
ส่วนถ้าจะแย้งเรื่อง macro nutrient ก็ต้องกลับไปต้นบทความอยู่ดี คือลองวัดหมัดต่อหมัดกับอาหารธรรมชาติอื่นๆ มันทรงคุณค่าพอที่จะกระโดดไปอยู่อันดับต้นๆของห่วงโซ่อาหารเลยไหม มันทรงคุณค่าพอที่คุณจะต้องหวาดกลัวหากไม่ได้ดื่มมันจริงๆเลยไหม ระดับนั้นเลยไหม แล้วก็วนกลับมาที่เดิมกันคำถามแรกอีกเช่นเคย
เราดื่มนมไป “ทำไม” เรา “จำเป็น” ต้องดื่มนมขนาดนั้นเลยเหรอ
อ่านถึงตรงนี้คนยังอาจเข้าใจว่าพูดถึงแค่นมโอ้ต แต่จริงๆแล้วกระบวนการทำน้ำพืชแทบไม่ต่างกันในหลักการครับ คือเราไม่ต้องถามเลยว่า แล้วพืชนั้นเป็นยังไง นมอัลมอนด์ดีกว่าไหม นมพิตาชิโอดีที่สุดไหม นมแมคคาเดเมียกินดีไหม นมถั่วเหลืองดีกว่าใช่ไหม สาวววววว สาวตื่นตูมอีกแล้ว เราพิมพ์มายาวมาก keyword หลักเลยคือ เราดื่มนมไป “ทำไม” เรา “จำเป็น” ต้องดื่มนมขนาดนั้นเลยเหรอ
ลองดูเนื้อหานมอัลมอนด์ที่คนบูชาหนักหนาก็ได้ครับ ว่าคุณกินอะไรลงไป
ถ้าจะบอกว่าได้สารอาหารมาก ได้วิตามินไงคะพี่ ก็เพิ่งบอกอยู่ว่าวิตามินเติม มันดูดซึมไม่เท่าที่ตัวเลขโชว์หรอกฉี่แพงนะสาว
อีกอย่างถ้าคุณดูฉลากนะจะพบว่า บางพืชชูความแคลต่ำ คาร์บต่ำ แล้วมันจะเอาวิตามินจากไหนมา 100 200% เราตื่นเต้นกับตัวเลขคิดไปเองว่าดูดเข้าร่างไปหมดหรือดูดได้มากๆ คุณจะปลดล็อคตัวเองจากจุดนี้ได้ ก็ต้องไปหาความรู้เรื่องมุมดาร์คของ ซัพพลีเม้นท์ จึงจะเบิกเนตรเรื่องการดูดซึม ไม่อย่างนั้นเอาเอาใส่มาม่าก็ได้ ซื้อผงๆมาเทเลย วิตามินเอ ดี อี เค ซี บี เทรวมไปเลย ชงมาม่าทางเลือกไปเลยมะ ดื่มคาราบาวแดงก็ได้ มีวิตามินบีด้วย ทำไมไม่ดื่มชูกำลังมั่งอ่ะ ถ้าจะเรียกร้องวิตามินผงๆจากนมทางเลือก
นอกจากมหากระบวลการอุตสาหกรรมแล้ว ถ้าคุณยังพุ่งเข้าใส่อาการ “บ้านฉันต้องได้กินนม” คุณก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยว่า พืชมีสาร anti nutrient หรือ สารที่ดักไม่ให้ร่างกายคุณดูดซึมแร่ธาตุสารอาหาร นอกจากนี้ ไอ้การทำสินค้านี้มันคือการผ่านกระบวนการ (process) จากผลหรือจากเม็ดให้เป็นน้ำๆ มันทำให้คุณบริโภคพืชเกินกว่าที่ธรรมชาติจัดสรร เพราะธรรมชาติป้องกันการกินสาร anti nutrient เกินควร มาในรูปแบบของการเคี้ยว มันทำให้เราต้องเมื่อยปากและหยุดกินได้ทันท่วงที แต่เพราะคุณยังติดกับดักตัวเลข ที่มัวคิดแต่ว่า ต้องเยอะๆ ต้องเยอะๆ เยอะๆจะดี มาเต็มๆ คัดบริสุทธิ์มา โดนการตลาดหลอกแบบว่า เม็ดเดียวทำมาจากส้ม 1แสนลูก เพื่อให้รู้สึกดีคุ้ม นั่นจึงเกิดการ over comsume หรือ กินเกินที่ควรเป็น มุ่งเข้าสู่กระบวนการเริ่มต้นของ เมทาบอลิก ซินโดรม คุณครับ ส้มธรรมชาติเองมันยังไม่บริสุทธ์เลย
นั่นคือย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นที่คุณร่างพังจนต้องมากินคีโต นั่นเอง แมวไล่กัดหางตัวเอง
ถึงตรงนี้แล้ว
ถ้าคุณฉุกคิดได้ว่า เราดื่มนมไป “ทำไม” เรา “จำเป็น” ต้องดื่มนมขนาดนั้นเลยเหรอ
ถ้าคุณเอาตารางโภชนาการมาแบเทียบ แยกธรรมชาติออกจากเคมีผงๆ มาดูชัดๆ
ถ้าคุณเอาปริมาณที่เหมาะสม ที่ธรรมชาติส่งมาให้กิน
คุณจะไม่ตื่นตูม สับสน วิ่งวนหาแต่ว่า นมอะไรดี นมอะไรดี นมอะไรดี ตายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วคุณจะพบว่า ไม่กินนมเลยแม้แต่ชนิดเดียวก็ไม่ขาดอะไรเลย แข็งแรงดี ไม่ป่วยไม่ตาย เพราะดีที่สุดของนมนั้นมันยังเทียบไข่ไม่ถึง 5ฟองเลยด้วยซ้ำ
จนถึงวันนี้ผมก็ยังค้นหาเหตุที่ “ต้อง” กินนมได้ ไม่เกิน 2 ข้อคือ
1.เคี้ยวไม่ได้ จะเด็กมาๆแบเบาะ ป่วยมากๆ แ่ก่มากๆ จนต้องดื่มเท่านั้น (เด็ก 4ขวบยังไม่จำเป็นเลย)
2.ชอบ เสพติด dairy product ชอบนมผสมเครื่องดื่ม ชอบดื่มเพียวๆ ชอมความขาวข้น มันๆ
ซึ่ง 2 อย่างนี้เป็นเหตุจำเป็นที่มีเหตุผล ส่วนเหตุผลอื่น ก็ยินดีอยากรับฟังเสมอนะครับ
อ้อ เหตุผลพวก แพ้แลคโตส แพ้นั่นนี่ ไม่นับนะขอร้อง มันไม่ได้ตอบเหตุผลหลักเลยว่า “ทำไมคุณต้องกินมัน” เรื่องแพ้ไม่แพ้คือปลายเหตุแล้ว เพราะคุณตอยไม่ได้ว่าต้องกินนมเพื่ออะไร คุณยอมข้อแรกไปแล้วว่าคุณต้องกินมัน เอาข้อเดียวตอบตัวเองชัดๆก่อน จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าครับ
เพื่อนๆ หมอๆ ที่เป็นชาวเรา ก็บอกเป็นเสียงเดียวว่า มันดีพอที่จะเป็นอาหาร แต่มันไม่ได้ดีระดับว่าเป็นโคตรแห่งอาหาร ต้อง to die for ที่จะหามันมากิน ส่วนหมอเอกผู้เปิดประเด็นนมดิบ ก็ย้ำชัดเลยว่า “ถ้า” คุณเลือกที่จะกิน ถ้าต้องเลือกที่จะกิน ถ้าต้องเลือกที่จะกิน ย้ำแล้วนะว่า ถ้าต้องเลือกที่จะกิน คุณควรเลือกกินนมดิบ มากกว่านมพาส ไม่มีวินาทีไหนเลยที่หมอเอกบอกว่า นม คือโคตรแห่งอาหารครับ ดังนั้นตอบตัวเองชัดๆก่อนว่า
เราดื่มนมไป “ทำไม” เรา “จำเป็น” ต้องดื่มนมขนาดนั้นเลยเหรอ