
Anchor
1. Prologue
2. Original Myth
3. Bragg Myth
Prologue
เฮียอยากชวนคุณเดินทางไปดู “ศรัทธาในขวดน้ำหมัก” ที่กลายเป็นเรื่องเล่ามูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ เรื่องที่เริ่มต้นจากครัวเล็กๆ กลายเป็นศาสนาใหม่ของสุขภาพ และถูกพูดถึงทุกครั้งที่มีใครอยากจะยืนยาวโดยไม่ต้องพึ่งหมอ เฮียไม่ได้จะเล่าเรื่องน้ำส้มสายชูให้ฟัง แต่จะพาไปดูว่า อะไรทำให้ของหมักหนึ่งขวด กลายเป็นตำนานระดับโลกได้ขนาดนั้น
ทุกคนรู้จัก ACV หรือ Apple Cider Vinegar ในฐานะของดีจากธรรมชาติ กินแล้วผอม ล้างพิษ ช่วยเบาหวาน ปรับสมดุลร่างกาย และอีกสารพัดคำบอกต่อ แต่คำถามที่เฮียอยากให้ค้างอยู่ในใจตั้งแต่บรรทัดนี้คือ “ทำไมเราถึงเชื่อมันได้ง่ายขนาดนั้น?” เพราะถ้ามันดีจริงอย่างที่เล่ามา โลกคงไม่ต้องมียาเม็ดแพงๆ หรือคลินิกล้างพิษเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้หรอกเหรอ
ชุดบทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อทำลายศรัทธา แต่เพื่อคืนอิสรภาพให้กับความเข้าใจของเราครับ เฮียอยากให้เพื่อนๆอ่านแล้วได้เห็นว่า เบื้องหลังคำว่า “สุขภาพ” นั้น มีทั้งตลาด การเมือง วิทยาศาสตร์ และความศรัทธา แทรกอยู่ในขวดเล็กๆ ที่เราเรียกว่า ACV นั่นเอง เราต่างหากที่จะอยู่ในจุดไหน
สิ่งที่เฮียจะชวนคุณดู ไม่ใช่การวิเคราะห์สารเคมี ไม่ใช่การรีวิวสินค้า และไม่ใช่คำอวดอ้างทางการตลาด แต่มันคือ “เส้นทางของความเชื่อ” ที่ค่อยๆ ก่อตัวจากความต้องการจะมีชีวิตที่ดีกว่า และเมื่อความเชื่อนั้นถูกตลาดจับไปแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ มันก็กลายเป็น myth ตำนานที่ใครๆ ก็อยากเชื่อเพราะมันสวยกว่าความจริง
เฮียจะไม่เฉลยตอนนี้ว่า myth นั้นเกิดขึ้นได้ยังไง หรือใครอยู่เบื้องหลัง เพราะเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่การค่อยๆ เปิดให้เห็นว่า แต่ละยุคของน้ำหมักหนึ่งขวด สะท้อนวิธีคิดของมนุษย์อย่างไร ตั้งแต่ยุคที่คนเชื่อว่า “ของเปรี้ยวคือชีวิต” จนถึงวันที่มันถูกเรียกว่า “น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งความยืนยาว” เฮียอยากให้คุณได้สัมผัสการเดินทางนั้นด้วยตาตัวเอง
ในซีรีส์นี้จะไม่มีการปั่นดราม่า ไม่มีการตัดสิน ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด มีแต่การส่องให้เห็นสิ่งที่อยู่ในเงามืดของตลาดสุขภาพ เพราะโลกของ real food กับโลกของ marketing มันแทบจะเป็นคนละจักรวาลกัน ของจริงไม่เคยต้องโฆษณา แต่สิ่งที่ตลาดอยากขายกลับต้องสร้างเรื่องเล่าเพื่อให้คนเชื่อ และ ACV ก็เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาหารสุขภาพ
หลายคนอาจคิดว่าเรื่องน้ำส้มสายชูหมักมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเกินไปสำหรับจะเขียนเป็นซีรีส์ทั้งชุดหรือเปล่า แต่เฮียอยากให้ลองคิดใหม่ บางทีสิ่งเล็กๆ ที่เราเห็นในขวด อาจสะท้อนภาพใหญ่ของโลกที่เรากำลังอยู่ โลกที่ “ศรัทธา” ถูกแปลงเป็น “มูลค่า” และ “สุขภาพ” ถูกทำให้กลายเป็น “สินค้า” โดยที่เราไม่รู้ตัว
เฮียอยากให้เพื่อนๆเปิดใจอ่าน แต่ไม่ต้องเชื่อทุกอย่างที่เห็นในบรรทัดแรก เพราะเป้าหมายของ ACV Myth ไม่ใช่ให้คุณเปลี่ยนศรัทธา แต่ให้คุณเข้าใจว่าศรัทธานั้นถูกสร้างขึ้นยังไง เฮียจะไม่บอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่จะเล่าให้เห็นว่า ทำไมมันถึงถูกยกให้เป็น Holy Grail ของความยืนยาว ทั้งที่ในห้องแล็บ มันก็แค่กรดอ่อนๆ ที่มีกลิ่นแอปเปิ้ลจางๆ เท่านั้น
คุณอาจจะเคยอ่านบทความสุขภาพมานับพัน หรือดูคลิปรีวิวมากี่ร้อย แต่เฮียอยากบอกว่าไม่มีเรื่องไหนที่เล่าเส้นทางของ “น้ำหมักหนึ่งขวด” ได้เหมือนเรื่องนี้ เพราะมันไม่ได้พูดถึงแค่สุขภาพ มันพูดถึง “ความเป็นมนุษย์” ที่พยายามหาทางยืดอายุ หาความหวัง และหาคำตอบจากสิ่งที่จับต้องได้ง่ายกว่าวิทยาศาสตร์ นั่นคือเรื่องเล่า
ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็ว ความจริงกับความเชื่อมักเดินซ้อนกันจนแทบแยกไม่ออก เฮียเชื่อว่าหน้าที่ของเราคือ “หยุดฟังให้ครบ” ก่อนจะเชื่อใคร และนั่นคือสิ่งที่ ACV Myth ตั้งใจทำทุกบรรทัด มันไม่ใช่การแฉ แต่มันคือการขุดรากของตำนาน เพื่อให้เห็นว่ามันงอกมาจากดินแบบไหน
บางตอนคุณจะรู้สึกเหมือนอ่านประวัติศาสตร์ บางตอนเหมือนอ่านนิยายสืบสวน บางตอนเหมือนอ่านงานธุรกิจระดับทุนโลก แต่ทั้งหมดมีจุดร่วมเดียวกันคือ “ความจริง” เฮียไม่ได้จะชี้นิ้วใส่ใคร แต่อยากให้คุณเห็นว่าทุก myth มีคนสร้าง และทุกคนที่เชื่อ ก็ล้วนมีเหตุผลของตัวเอง
ไม่ต้องกลัวว่าจะเข้าไม่ถึง ไม่ต้องมีพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เฮียเล่าให้เข้าใจง่ายเหมือนฟังเพื่อนคุยกัน แต่ทุกอย่างที่อยู่ในนั้น จะถูกตรวจกับหลักฐานจริงตามธรรมนูญกลาง ไม่มีส่วนไหนเขียนจากความเห็นส่วนตัว เพราะนี่ไม่ใช่งานโฆษณา แต่มันคือบันทึกความจริงของโลกสุขภาพ ที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มของคำว่า “ธรรมชาติ”
เฮียไม่อยากให้คุณอ่านเพื่อหาคำตอบว่า ACV ดีหรือไม่ดี แต่ให้อ่านเพื่อเข้าใจว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง” ที่ของหมักพื้นบ้านกลายเป็นเครื่องดื่มแห่งศรัทธา และเมื่อศรัทธานั้นถูกบริษัทถือหุ้น มันยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหม
ถ้าคุณเคยรู้สึกสงสัยกับคำว่า “ดีต่อสุขภาพ” ถ้าคุณเคยเห็นคนรอบข้างเชื่ออะไรโดยไม่ถาม หรือถ้าคุณแค่ชอบรู้ความจริงเบื้องหลังสิ่งที่โลกบอกให้เชื่อ เฮียอยากชวนให้อ่านซีรีส์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะมันอาจไม่เปลี่ยนโลก แต่อาจเปลี่ยนวิธีที่คุณมองขวดหนึ่งในครัวไปตลอดชีวิตก็ได้
ผู้ศรัทธา มองหา จอกศักดิ์สิทธิ์ อยู่ตลอดเวลา

Original Myth
ก่อนที่น้ำส้มสายชูจะมีฉลากติดว่า “organic” หรือ “mother culture” มนุษย์รู้จักรสเปรี้ยวของมันมานานกว่าหมื่นปีแล้ว หลักฐานโบราณจากหม้อดินเผาในอียิปต์และสุเมเรียนพบคราบของเหลวที่เกิดจากการหมักข้าว ข้าวบาร์เลย์ และองุ่นจนกลายเป็นกรดอะซีติก นักโบราณคดีมองว่านี่คือร่องรอยของการค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อแอลกอฮอล์สัมผัสอากาศและเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจุลชีววิทยา มนุษย์โบราณไม่ได้เข้าใจกลไกนั้น แต่รู้เพียงว่าน้ำใสที่มีรสเปรี้ยวนี้เก็บอาหารไว้ได้นานและปลอดภัยกว่าของเน่าเสีย
ชาวกรีกและโรมันรู้จักของหมักชนิดนี้ดี พวกเขาเรียกมันว่า oxos และ acetum ใช้ปรุงรสและเก็บรักษาอาหารในฤดูร้อน ตำราของฮิปโปเครตีสเมื่อราว 400 ปีก่อนคริสตกาลระบุว่าน้ำส้มผสมน้ำผึ้งใช้ล้างบาดแผลและลดไข้ได้ ขณะที่กองทัพโรมันใช้น้ำส้มผสมน้ำดื่มเพื่อป้องกันการติดเชื้อในน้ำดิบ แสดงให้เห็นว่าน้ำส้มสายชูเคยเป็นของพื้นฐานในชีวิตประจำวันก่อนที่แนวคิด “ยาหมักเพื่อสุขภาพ” จะถือกำเนิดขึ้น
ในจีนโบราณ หลักฐานจากยุคราชวงศ์โจวตอนต้นบ่งชี้ว่ามีการหมักน้ำส้มจากข้าวฟ่างและข้าวเหนียวมานานแล้ว ตำราแพทย์ หวงตี้เน่ยจิง กล่าวถึง “ชู” ว่าเป็นของมีฤทธิ์เย็น ใช้ปรับสมดุลร่างกายและช่วยย่อยอาหาร ทั้งตะวันออกและตะวันตกต่างเรียนรู้สิ่งเดียวกันจากธรรมชาติ คือกรดที่เกิดจากการหมักสามารถรักษาอาหารและสุขภาพได้โดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์
เมื่อติดตามร่องรอยเหล่านี้จะเห็นว่าน้ำส้มสายชูไม่เคยถูกมองว่าเป็นยาอายุวัฒนะ มันเป็นเพียงผลจากกระบวนการหมักที่มนุษย์เข้าใจและนำมาใช้ซ้ำอย่างฉลาด ก่อนที่โลกยุคอุตสาหกรรมและการตลาดจะยกระดับของหมักธรรมดานี้ให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา เฮียจะพาไปดูในช่วงต่อไปครับว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มขึ้นเมื่อใด
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่อารยธรรมเริ่มมีระบบการแพทย์เป็นของตนเอง น้ำส้มสายชูก็ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฐานะ “ยาพื้นบ้าน” ไม่ใช่แค่เครื่องปรุงอาหาร เอกสารของแพทย์กรีกยุคหลังอย่างไดออสคอริดีสในศตวรรษที่หนึ่งระบุชัดว่าน้ำส้มสายชูมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อและช่วยย่อยอาหาร เขาแนะนำให้ใช้กับผักและเนื้อสัตว์เพื่อป้องกันการเน่า ส่วนในอียิปต์ช่วงเดียวกัน น้ำส้มถูกนำไปใช้ในการดองผักและรักษาเนื้อสัตว์ไว้ในหลุมเกลือและน้ำส้มผสมกัน นับเป็นเทคนิคถนอมอาหารที่กลายเป็นพื้นฐานของหลายอารยธรรม
จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีพัฒนาน้ำส้มสายชูของตนเองขึ้นจากวัตถุดิบท้องถิ่น ข้าว ข้าวฟ่าง และบ๊วยถูกหมักด้วยยีสต์และแบคทีเรียจากอากาศ จนได้ของเหลวใสที่เก็บไว้ได้หลายปี ตำราแพทย์จีนในยุคราชวงศ์ฮั่นกล่าวถึงสรรพคุณในการ “ล้างพิษจากเนื้อสัตว์” และ “กระตุ้นการย่อย” ซึ่งตรงกับแนวคิดเดียวกับในกรีกโบราณ แม้ไม่มีใครรู้เรื่องเอนไซม์หรือจุลชีพ แต่ทุกวัฒนธรรมต่างเข้าใจว่าของหมักช่วยให้ร่างกายทำงานดีขึ้นและอาหารไม่เน่าเสีย
ในยุคโรมันตอนปลายและยุคกลางตอนต้น น้ำส้มสายชูเริ่มถูกใช้ในระบบการแพทย์แบบยุโรป การบันทึกของนักบวชและหมอยาในศตวรรษที่สิบสามถึงสิบห้า เช่น Hildegard of Bingen และ Paracelsus ระบุการใช้น้ำส้มหมักจากองุ่นและแอปเปิลเป็นส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อ และใช้เช็ดทำความสะอาดร่างกายช่วงที่มีโรคระบาด แสดงให้เห็นว่าน้ำส้มสายชูถูกยอมรับทั้งในฐานะเครื่องครัวและยาอย่างเท่าเทียมกันในชีวิตคนยุโรป
หากย้อนมองให้ชัด น้ำส้มสายชูในยุคก่อนอุตสาหกรรมคือผลลัพธ์ของความเข้าใจธรรมชาติในระดับที่ลึกและเรียบง่าย มันไม่ได้ถูกตีค่าเป็น “สุขภาพในขวด” แต่เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัยของอาหารและชีวิตประจำวัน เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้เหล่านี้ค่อยๆ ถูกแปลงเป็นตำนานว่า “กรดเปรี้ยวนี้รักษาได้ทุกโรค” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิดที่ตลาดจะต่อยอดในอีกหลายศตวรรษต่อมา
เมื่อยุโรปก้าวเข้าสู่ยุคกลาง ความรู้เรื่องสมุนไพรและของหมักถูกส่งต่อจากโบสถ์และโรงเรียนแพทย์ที่ก่อตั้งโดยนักบวช น้ำส้มสายชูกลายเป็นส่วนหนึ่งของตำรายาและตำราครัวพร้อมกันในหลายประเทศ ตำราฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลีในศตวรรษที่สิบสี่ต่างระบุวิธีหมักน้ำส้มจากองุ่น แอปเปิล และผลไม้ท้องถิ่น พร้อมคำแนะนำในการใช้ล้างบาดแผล แช่เนื้อสัตว์ และผสมน้ำสมุนไพรดื่มเพื่อ “ปรับเลือดให้สมดุล” แม้จะยังไม่รู้จักคำว่า pH หรือกรดอะซีติก แต่คนสมัยนั้นสังเกตได้ว่าน้ำหมักช่วยชะลอการเน่าเสียและทำให้ร่างกายรู้สึกเบาสบายหลังอาหาร
นักบวชหญิงชื่อ Hildegard of Bingen ที่ถูกยกย่องว่าเป็นแพทย์หญิงคนแรกของยุโรป ได้บันทึกไว้ว่าน้ำส้มผสมสมุนไพรอย่าง sage หรือ rosemary ใช้ทาผิวเพื่อลดไข้และบรรเทาอาการอักเสบ ส่วน Paracelsus แพทย์และนักเล่นแร่แปรธาตุในศตวรรษที่สิบหก ก็ใช้กรดจากน้ำส้มในการสกัดสารสำคัญจากพืช ซึ่งเป็นพื้นฐานของการกลั่นยาสมุนไพรในเวลาต่อมา หลักฐานเหล่านี้ชี้ว่า น้ำส้มสายชูเป็นหนึ่งในของหมักไม่กี่ชนิดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างศาสตร์ของอาหารและการแพทย์
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในยุโรปตอนเหนือหมักน้ำส้มจากข้าวบาร์เลย์และเบียร์ที่บูด กลายเป็นของหมักรสเข้มที่ใช้ถนอมเนื้อสัตว์ในฤดูหนาว ส่วนในยุโรปตอนใต้ น้ำส้มจากไวน์กลายเป็นสินค้าค้าขายระหว่างเมือง เป็นครั้งแรกที่น้ำส้มสายชูเริ่มถูกผลิตในเชิงพาณิชย์และมีการเก็บภาษีโดยรัฐ เมืองโมเดนาในอิตาลีเริ่มมีชื่อเสียงจาก “aceto” ซึ่งต่อมาคือ balsamic vinegar ที่รู้จักกันทั่วโลกในปัจจุบัน
จากของหมักในครัว น้ำส้มสายชูเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจและการแพทย์ไปพร้อมกัน และนี่เองคือจุดเปลี่ยนที่แนวคิด “ของหมักคือชีวิต” เริ่มถูกเขียนลงในตำรา แสดงถึงความเชื่อว่าชีวิตเกิดจากสิ่งที่ยังมีพลังเคลื่อนไหวแม้ในสภาพนิ่ง ซึ่งต่อมาแนวคิดนี้จะถูกดึงไปใช้ในยุคสมัยใหม่ จนกลายเป็นรากของคำว่า “live food” ที่ตลาดสุขภาพนำไปขยายต่อในศตวรรษถัดมา เฮียจะเล่าต่อในช่วงสุดท้ายครับว่าก่อนที่คำว่า “ยาวิเศษจากธรรมชาติ” จะถือกำเนิดขึ้น น้ำหมักนี้ยังคงเป็นเพียงผลผลิตของสติและการสังเกต ไม่ใช่ความเชื่อครับ
เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่สิบเจ็ดถึงสิบแปด โลกเริ่มเปลี่ยนจากยุคเกษตรสู่ยุควิทยาศาสตร์ การหมักที่เคยเป็นเรื่องของศรัทธาและภูมิปัญญาถูกนำมาอธิบายด้วยกล้องจุลทรรศน์ของนักวิทยาศาสตร์อย่างแอนโทนี ฟาน ลีเวนฮุค ผู้สังเกตเห็นจุลชีพที่เคลื่อนไหวในของเหลวหมัก และต่อมา หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้พิสูจน์ว่าน้ำส้มสายชูเกิดจากกระบวนการของแบคทีเรีย Acetobacter aceti ที่เปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นกรดอะซีติก การค้นพบนี้พลิกจากความเชื่อแบบโบราณที่คิดว่าการหมักคือ “ชีวิตที่เกิดขึ้นเอง” มาเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าทุกอย่างมีเหตุและผลชัดเจน
ในช่วงเดียวกัน โลกเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม โรงงานผลิตน้ำส้มสายชูถือกำเนิดขึ้นในยุโรปและอเมริกา การหมักถูกเร่งด้วยอุณหภูมิและออกซิเจน จนได้ผลิตภัณฑ์จำนวนมากในเวลาสั้นกว่าเดิม จากของหมักพื้นบ้านที่มีความหลากหลายตามถิ่น กลายเป็นน้ำส้มสายชูเชิงพาณิชย์รสเปรี้ยวมาตรฐานที่วางขายได้ทั่วประเทศ ผู้คนเริ่มห่างจากรสและกลิ่นของน้ำหมักแท้ และค่อยๆ ลืมไปว่ามันเคยมีชีวิต มีจุลชีพ และมีวัฒนธรรมซ่อนอยู่ในนั้น
ความเข้าใจเรื่องการหมักค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยสูตรการผลิตที่ตัดจุลชีพออกไปเพื่อความสะอาดและเก็บได้นาน ผลคือคำว่า “ของหมัก” ที่เคยหมายถึงความสมดุลระหว่างชีวิตกับธรรมชาติ กลายเป็นเพียงขั้นตอนในกระบวนการอุตสาหกรรม ผู้คนไม่ได้หยิบมันมาใช้เพราะเข้าใจ แต่เพราะเชื่อว่ามันดีต่อสุขภาพโดยไม่รู้ที่มา นี่คือรอยต่อสำคัญที่ทำให้ของหมักเริ่มเปลี่ยนสถานะจาก “อาหาร” ไปเป็น “สินค้า” และในศตวรรษถัดมา มันจะถูกตลาดสร้างเรื่องราวใหม่ให้กลายเป็นเครื่องดื่มแห่งศรัทธา
ก่อนที่คำว่า “apple cider vinegar” จะถูกยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการดูแลสุขภาพ เฮียอยากให้เรามองย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นนี้อีกครั้ง ว่าน้ำส้มสายชูไม่เคยมีเวทมนตร์ใดๆ มันคือผลของการสังเกตธรรมชาติที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์ เป็นเรื่องของจุลชีพที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา และเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า สิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ในวันนี้ ล้วนเริ่มจากความเข้าใจธรรมดาของคนที่เคยเฝ้ามองของหมักอยู่ข้างโอ่งเล็กๆ เท่านั้นครับ

Bragg Myth
ในยุคที่อเมริกายังไม่รู้จักคำว่า “wellness” และคำว่า “organic” ยังไม่กลายเป็นสัญลักษณ์บนฉลากอาหาร Paul Bragg คือชายคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาพูดเรื่อง “สุขภาพ” ในยุคที่คนส่วนใหญ่ยังถือว่าการรักษาคือหน้าที่ของหมอ ไม่ใช่ของตัวเอง เขาเกิดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เติบโตท่ามกลางยุคที่สังคมเริ่มคลั่งไคล้แนวคิด Physical Culture การดูแลร่างกายผ่านการออกกำลังกาย อาหารธรรมชาติ และการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ ความคิดแบบนี้มีรากจากยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะข้ามมาอเมริกาในช่วงต้นปี 1900 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ Paul Bragg เริ่มสร้างตัวตนของเขาในฐานะ “อาจารย์สุขภาพ”
Bragg ไม่ได้เป็นแพทย์ เขาเป็นนักพูด นักขาย นักสร้างแรงบันดาลใจ และนักเล่าเรื่อง เขาใช้ชีวิตเหมือนเครื่องโฆษณาเดินได้ของแนวคิด “Live Foods – Live Body – Live Life” แนวคิดของเขาไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเลยครับ มันคือการกินอาหารธรรมชาติ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกาย หายใจลึก ๆ และเชื่อว่าร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้ถ้าเรากลับไปหาธรรมชาติ ฟังดูธรรมดา แต่ในยุคที่อุตสาหกรรมอาหารเริ่มเข้ามามีอิทธิพล แนวคิดนี้กลับกลายเป็น “นอกกระแส” และสร้างความสนใจในหมู่คนเมืองที่กำลังเบื่อชีวิตอุตสาหกรรม
สิ่งที่ Bragg ทำได้ดีกว่าคนอื่นคือ “การทำให้ธรรมดากลายเป็นตำนาน” เขาเริ่มจัด Health Crusade ตามโรงเรียนและชุมชน ใช้โปสเตอร์และแผ่นพับเล่าเรื่องสุขภาพแบบเข้าใจง่าย พร้อมขายผลิตภัณฑ์ของตัวเองไปด้วย นั่นคือจุดเริ่มของ Bragg Live Food Products บริษัทเล็ก ๆ ที่ผสมระหว่างการเทศน์เรื่องสุขภาพกับการขายสินค้าพื้นฐานอย่างน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล
Paul Bragg ทำให้น้ำส้มสายชูกลายเป็นมากกว่าเครื่องปรุง เขาเล่าว่ามันคือ “ของหมักที่มีชีวิต” มีพลังงานชีวิตจากธรรมชาติที่ช่วยทำให้ร่างกายกลับมามีสมดุลและพลัง เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “live vinegar” และใช้คำว่า “with the mother” ซึ่งภายหลังกลายเป็นคำโฆษณาที่สำคัญที่สุดของแบรนด์ Bragg จนถึงปัจจุบัน จริง ๆ แล้ว “mother” ในที่นี้หมายถึงตะกอนจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในการหมัก แต่ Bragg ทำให้มันฟังดูศักดิ์สิทธิ์เหมือนมีชีวิตจิตใจ มีความเป็นแม่ เปรียบเปรยกับ mother of the world ซึ่งโลกจุลินทรีย์กับโลกมนุษย์ ถูกเปรียบแบบให้คิดต่อเองอัตโนมัติ
ในทศวรรษ 1930 เขาเริ่มออกรายการวิทยุและเปิด “Health Center” ในลอสแอนเจลิส มีการสอนโยคะ ออกกำลังกาย การอดอาหาร (fasting) และการกินอาหารธรรมชาติ(raw food) Paul Bragg กลายเป็นคนดังในหมู่คนที่เริ่มเบื่อยาปฏิชีวนะและอาหารโรงงาน เขามักจะอ้างว่าตัวเองเป็นผู้บุกเบิกการอดอาหารเพื่อสุขภาพ (fasting therapy) และเขียนหนังสือชื่อ The Miracle of Fasting ที่ภายหลังกลายเป็นต้นแบบของการถือศีลอดเชิงสุขภาพยุคใหม่
แต่สิ่งที่อยากให้มองคือ บริบทจริงของยุคนั้น มันไม่ใช่ยุคที่วิทยาศาสตร์สุขภาพมีมาตรฐานอย่างทุกวันนี้ ยังไม่มี FDA ในแบบที่เรารู้จัก ไม่มีระบบตรวจสอบงานวิจัยหรือคำอ้างสุขภาพ ดังนั้นใครพูดได้เสียงดังกว่าก็ถือว่าจริง และ Bragg คือคนที่พูดได้ดังมาก เขาใช้สื่อได้อย่างยอดเยี่ยมจนแนวคิดของเขาเข้าไปอยู่ในโรงเรียน ในโบสถ์ และในบ้านของคนอเมริกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า Bragg จบแพทย์หรือมีใบอนุญาตทางโภชนาการ แต่เขากลับได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้บุกเบิกแนวคิดสุขภาพสมัยใหม่” เพราะเขาขายความเชื่อที่คนอยากฟังในเวลานั้น เขาไม่ได้พูดเรื่องโมเลกุลหรือเอนไซม์ แต่พูดเรื่องชีวิตที่มีพลัง ความอ่อนเยาว์ และอายุยืน น้ำส้มสายชูหมักจึงไม่ใช่แค่น้ำหมัก แต่มันกลายเป็น “สัญลักษณ์ของความมีชีวิต” ซึ่งนี่เองคือจุดที่ myth เริ่มก่อตัว
Bragg รู้ว่าผลิตภัณฑ์ของเขาไม่ใช่ยา เขาไม่เคยพูดตรง ๆ ว่ารักษาโรคได้ แต่เขาใช้ภาษาที่ทำให้คนรู้สึกว่า “มันอาจจะได้” เช่น “ช่วยให้ร่างกายคืนสมดุล” หรือ “กระตุ้นพลังชีวิตภายใน” คำเหล่านี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่สามารถฟ้องได้ในเชิงกฎหมาย กลายเป็นสูตรสำเร็จที่บริษัทสุขภาพอีกมากมายในยุคหลังนำไปใช้
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ต่อมาจะกลายเป็น “Bragg Live Food Products” บริษัทเล็ก ๆ ที่ผสมคำสอน ศรัทธา และการขายของหมักเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน ก่อนที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นตำนานยิ่งกว่าเดิม
หลังจาก Paul Bragg เสียชีวิต แต่โลกของ “Bragg Live Food Products” ไม่ได้เงียบหายไปเหมือนบริษัทเล็ก ๆ ทั่วไป ตรงกันข้าม มันกลับค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็น “ตำนานสุขภาพ” ที่ไม่ตายตามเจ้าของ และคนที่สืบต่อชื่อ Bragg ให้ยืนยาวจนกลายเป็นสัญลักษณ์คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ Patricia Bragg
Patricia ไม่ได้เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของ Paul Bragg แต่เธอคือผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณที่ Paul รับเข้ามาในครอบครัว โดยในเอกสารหลายชุด (รวมถึงหนังสือและเว็บไซต์บริษัทในยุคหลัง) จะเรียกเธอว่า “ลูกสาวบุญธรรม” บ้าง “partner in mission” บ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือ Patricia คือคนที่เข้าใจ “ภาษาการตลาดของศรัทธา” ดีกว่าทุกคนในยุคเดียวกัน เธอไม่ได้สืบทอดสูตรน้ำส้มสายชู แต่สืบทอด narrative ทั้งหมดที่ Paul ปลูกไว้
ในยุค 1960s–1970s โลกเริ่มเปลี่ยนจากยุคอุตสาหกรรมมาสู่ยุควัฒนธรรมใหม่ Hippie, yoga, natural food, และการตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม Patricia Bragg กลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างตำนานยุคเก่ากับวัฒนธรรมใหม่นี้ได้อย่างแนบเนียน เธอเป็นผู้หญิงผมทอง ใส่หมวกฟาง พูดจานุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยพลัง เธอพูดบนเวทีเดียวกับนักพูดแนวสุขภาพชื่อดังหลายคนในยุคนั้น เช่น Jack LaLanne (ที่ภายหลังถูกเรียกว่า “บิดาแห่งฟิตเนสอเมริกัน”) และมักปรากฏตัวในรายการทีวีท้องถิ่นเพื่อพูดเรื่อง “ชีวิตธรรมชาติแบบง่าย ๆ”
Patricia ไม่เพียงแค่รักษาภาพ “Live Foods” เอาไว้ เธอทำให้มันกลายเป็นเครื่องหมายทางศาสนาแห่งยุค wellness เธอพูดถึง “ชีวิตนิรันดร์” ในความหมายของร่างกายที่สะอาดและจิตใจที่เบิกบาน ใช้คำว่า “Live long, live young, live Bragg” ซึ่งกลายเป็นสโลแกนไม่เป็นทางการของแบรนด์มาหลายสิบปี ในมือของเธอ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลถูกยกระดับจากของหมักบ้าน ๆ ให้กลายเป็น “น้ำอมฤต” ของชีวิตสมัยใหม่
สิ่งที่ Patricia ทำเก่งมากคือ “การบรรจุศรัทธาใส่ขวด” เธอทำให้ Bragg กลายเป็นแบรนด์ที่มีบุคลิก มีเสียง มีวิญญาณ และที่สำคัญมีเรื่องเล่า เธอพูดถึง “mother” ในขวด ACV ด้วยภาษาที่เกือบจะเหมือนพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นพลังชีวิตของธรรมชาติ เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเอนไซม์และจุลินทรีย์ที่ช่วยชำระร่างกาย เธออธิบายว่า “เราต้องเคารพในพลังชีวิตของของหมักเหมือนเคารพแม่ของเรา” และนั่นทำให้ ACV กลายเป็นของที่มีมิติทางจิตวิญญาณไปโดยไม่ต้องอ้างคำทางศาสนาเลย
ในเวลาเดียวกัน Patricia ยังใช้กลยุทธ์ของสื่อยุคใหม่ได้อย่างเฉียบคม เธอเขียนหนังสือสุขภาพหลายเล่ม เช่น Bragg Healthy Lifestyle, The Miracle of Fasting (ฉบับขยายจากต้นฉบับของ Paul), และ Apple Cider Vinegar: Miracle Health System หนังสือเหล่านี้ถูกจัดพิมพ์และขายตามร้านสุขภาพทั่วอเมริกาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค 1980s มาจนถึงยุค 2000s โดยมีรูปของเธอและ Paul Bragg ยิ้มคู่กันอยู่บนปกเสมอ เพื่อย้ำว่า “ตำนานยังไม่ตาย”
Patricia สร้างอัตลักษณ์ของตัวเองจนกลายเป็น “หญิงอมตะ” แห่งโลกสุขภาพ เธออ้างว่าตัวเองมีอายุยืนกว่า 90 ปีด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ Bragg ทุกวัน เธอใส่ชุดสีชมพู ใส่หมวกฟาง และยังปรากฏตัวในงานประชุมสุขภาพระดับโลกจนถึงปลายชีวิต คนรุ่นใหม่เห็นเธอเหมือนเป็นภาพจำของ “แม่หมัก” ที่มีชีวิตจริงบนโลกแค่เปลี่ยนจากในขวดมาอยู่ในร่างของมนุษย์
แต่เมื่อมองผ่านแว่นของความจริงตามบริบทของเรา สิ่งเหล่านี้คือ narrative ทางการตลาดที่ผูกโยงระหว่างความศรัทธากับสุขภาพ ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการดื่ม ACV ทุกวันจะทำให้ยืนยาวหรือคงความเยาว์วัยได้ แต่ Patricia ใช้ storytelling ทำให้คนรู้สึกว่าเธอคือ “หลักฐานที่มีชีวิต” และเมื่อภาพลักษณ์นั้นสอดคล้องกับสิ่งที่ตลาดอยากเชื่อ มันจึงไม่จำเป็นต้องมีงานวิจัยมารองรับ
ในยุคของเธอ Bragg กลายเป็นมากกว่าบริษัทน้ำส้มสายชู มันกลายเป็น “สำนักคิด” ที่มีผู้ติดตาม มีแนวทางการกิน มีคำสอน และมีศรัทธาในสิ่งเดียวกันการกลับไปหาธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ แต่ในความเงียบหลังเวที สิ่งที่ Patricia กำลังสร้างอยู่คือรากฐานของ “Health Food Movement” สมัยใหม่ ที่ภายหลังจะถูกแบรนด์ยักษ์ทั่วโลกหยิบไปใช้ต่ออย่างแนบเนียน และนั่นคือเรื่องราว เมื่อ “ศรัทธาในของหมัก” เริ่มเชื่อมต่อกับ “กระบวนการตลาดสุขภาพระดับโลก” และ ACV กลายเป็น Holy Grail Drink ของยุค Wellness
เมื่อเข้าสู่ยุค 1970s–1980s แนวคิดเรื่อง “อาหารเพื่อสุขภาพ” (Health Food) เริ่มกลายเป็นกระแสใหญ่ในสังคมอเมริกัน ร้านขายอาหารธรรมชาติโผล่ขึ้นตามหัวเมืองใหญ่ตั้งแต่แคลิฟอร์เนียถึงนิวยอร์ก ผู้คนเริ่มเบื่ออาหารโรงงานและหันไปหาข้าวกล้อง เต้าหู้ โยเกิร์ต และน้ำผักคั้นสด คำว่า “macrobiotic” เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักโยคะ ส่วนคำว่า “detox” ก็เริ่มปรากฏในนิตยสารสุขภาพฉบับแรก ๆ ของยุค 80 ซึ่งทั้งหมดนี้คือบรรยากาศที่ Patricia Bragg ว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางกระแส
Bragg Live Food Products ไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่ มีโรงงานไม่กี่แห่ง และไม่มีงบโฆษณาเท่าบริษัทอาหารเชิงพาณิชย์ แต่ Patricia มีสิ่งที่คนอื่นไม่มี นั่นคือ “ตำนานที่เล่าเองได้” เธอไม่ได้ขายสินค้า เธอขายศรัทธา เธอขายภาพชีวิตที่คนอยากมี ตื่นเช้าด้วยพลังชีวิต เดินกลางแดด สูดอากาศบริสุทธิ์ ดื่ม ACV ผสมน้ำผึ้ง แล้วบอกว่าชีวิตเริ่มต้นใหม่ในทุกวัน มันคือสคริปต์ของชีวิตแบบธรรมชาติที่โรแมนติกแต่จับต้องได้
สิ่งที่ Patricia ทำคือการผูก “ความเชื่อพื้นบ้าน” เข้ากับ “วิทยาศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า pseudo-science” อย่างแนบเนียน เธอพูดถึงเอนไซม์ จุลินทรีย์ วิตามิน และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย แต่ในขณะนั้นไม่มีการอ้างอิงงานวิจัยใด ๆ ประกอบการเผยแพร่ทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นภาษากึ่งวิทยาศาสตร์ที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย เหมาะกับผู้ฟังที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่เชื่อในพลังธรรมชาติ ตรงนี้เองที่ตลาดเริ่มเปลี่ยนรูปจาก “ขายอาหาร” เป็น “ขายความหวัง”
ในยุคเดียวกันนี้ ขบวนการ Health Food Movement เริ่มได้รับการยอมรับในเชิงธุรกิจมากขึ้น ร้านอย่าง “Whole Foods” เริ่มเติบโต Patricia จึงกลายเป็นแม่แบบของการตลาดแนว “spiritual health” ที่แบรนด์ใหญ่เอาไปใช้ เธอไม่ได้อยู่แค่ในตลาดน้ำส้มสายชู แต่กลายเป็นต้นแบบของการ rebrand สินค้าทุกอย่างให้ “ดูมีชีวิต” ตั้งแต่ซีเรียล ขนมปัง ไปจนถึงชาและสมุนไพร ทุกอย่างเริ่มใช้คำว่า “live,” “pure,” “natural,” และ “cleanse”
ในเวลาเดียวกัน “ของหมัก” ที่เคยถูกมองว่าเป็นของบ้าน ๆ เริ่มถูกตีความใหม่ว่าเป็นแหล่งของ “พลังชีวิตดิบ” (raw vitality) Bragg คือคนแรก ๆ ที่พูดคำนี้ออกสู่สื่ออย่างจริงจัง และนี่แหละคือจุดเปลี่ยนทางภาษาที่ทำให้น้ำส้มสายชูหมักกลายเป็น “เครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์” แห่งยุค wellness คุณ Patricia ใช้ภาษาที่ทำให้กรดน้ำส้ม (acetic acid) ฟังดูเหมือนสารลับแห่งชีวิต ทั้งที่ในความจริง มันก็แค่กรดอ่อนที่เกิดจากกระบวนการหมักน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ แล้วเปลี่ยนเป็นกรดด้วยแบคทีเรียชนิดหนึ่ง
แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเคมี พวกเขาสนใจเรื่องเล่า และ Patricia ก็ให้สิ่งนั้นอย่างเต็มที่ เธอพูดว่า “ACV คือของขวัญจากธรรมชาติที่ผ่านการปลุกชีวิตโดยแม่ (mother culture)” เธอเชื่อมโยง ACV เข้ากับทุกสิ่งในชีวิต ความงาม ผิวพรรณ การย่อยอาหาร พลังชีวิต และแม้แต่ความสุขทางจิตใจ น้ำส้มสายชูหมักจึงกลายเป็นเหมือน “Holy Grail Drink” เครื่องดื่มแห่งความยืนยาวที่ไม่มีวันหมดอายุในความเชื่อของผู้บริโภค
เมื่อสื่อเริ่มแพร่หลาย Bragg ใช้ภาพของตัวเองและ Paul คู่กันในทุกสื่อเหมือนสัญลักษณ์พ่อแม่แห่งสุขภาพ ภาพทั้งคู่กลายเป็นโลโก้ของแบรนด์ ทุกขวด ACV มีหน้าของพวกเขาอยู่ตรงกลางราวกับเป็น “รูปเคารพทางสุขภาพ” ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อแค่เครื่องปรุง พวกเขาซื้อ “ความดี” และ “ศรัทธาในธรรมชาติ” ที่บรรจุในขวดสีทองอมส้ม
ในปลายศตวรรษที่ 20 ตลาดสุขภาพกลายเป็นตลาดพันล้านดอลลาร์ และ Bragg ยังคงรักษาความเป็น “แบรนด์แห่งความบริสุทธิ์” เอาไว้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนสูตรเลย ความสำเร็จของเธอคือการไม่แข่งด้วยนวัตกรรม แต่แข่งด้วย “ตำนาน” ที่ไม่มีใครลอกได้ จุดที่ Patricia Bragg ชนะไม่ใช่เพราะเธอมีสินค้าดีกว่าใคร แต่เพราะเธอสร้างความเชื่อที่อยู่เหนือการพิสูจน์ได้ และทำให้มันฟังดูเป็น “วิทยาศาสตร์” มากพอที่จะเชื่อได้โดยไม่ตั้งคำถาม นี่แหละคือจุดที่ myth ผสานกับ marketing อย่างสมบูรณ์
และเมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ศรัทธานี้ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในร้านสุขภาพเล็ก ๆ อีกต่อไป มันขยายไปสู่โลกของทุน โลกของ influencer และโลกของ celebrity จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ต้องตรวจสอบในระดับโครงสร้างทุนสุขภาพ ซึ่งคือสิ่งที่เราจะเดินเข้าไปในช่วงสุดท้ายของตอนนี้ “Fact-box & Network Reality”
เมื่อโลกเข้าสู่ยุค wellness economy เต็มตัวในช่วงหลังปี 2010 เรื่องราวของ Bragg ถูกส่งต่อจากตำนานสู่ระบบทุนอย่างแนบเนียน Patricia Bragg ซึ่งในเวลานั้นอายุกว่าเก้าสิบปี ยังคงปรากฏตัวในงานสาธารณะด้วยพลังเหมือนหญิงวัยกลางคน ขวดน้ำส้มสายชูแบรนด์ Bragg กลายเป็นไอคอนในร้าน Whole Foods และ Amazon กลายเป็นช่องทางหลักในการส่งตำนานนี้ไปทั่วโลก แต่ในเงามืดของฉลากสีทอง ยังมีอีกชั้นของความจริงที่หลายคนไม่เคยรู้เรื่องของ “ทุน” ที่เข้ามาถือ myth นี้ต่อจากมือเธอ
ปี 2019 เป็นปีที่ Bragg Live Food Products ประกาศขายกิจการให้กับบริษัท private equity ชื่อ Swander Pace Capital ซึ่งเชี่ยวชาญในการซื้อกิจการสินค้าเพื่อสุขภาพและอาหารออร์แกนิก เช่น Veggie Grill และ Atkins Nutritionals นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ ตำนานที่เคยเริ่มจากครอบครัวเล็ก ๆ ในลอสแอนเจลิส ถูกยกให้บริษัททุนในซานฟรานซิสโกถือครองเต็มรูปแบบ ข้อตกลงไม่ได้เปิดเผยตัวเลขแน่ชัด แต่เอกสารการเงินจากหลายแหล่งประเมินว่ามีมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์
หลังการซื้อกิจการ Patricia ยังคงเป็น “หน้าแบรนด์” อย่างเป็นทางการ แต่บทบาทในทางบริหารค่อย ๆ ถูกโอนให้ทีมใหม่ และนั่นคือช่วงที่ชื่อของ Katy Perry, Orlando Bloom, และนักลงทุนรายอื่น ๆ เช่น Hayden Slater (ผู้ก่อตั้ง Pressed Juicery) ปรากฏขึ้นในฐานะ “strategic investors” สื่อหลายสำนักรายงานว่า ทั้งสามเข้ามาลงทุนใน Bragg ภายใต้ดีลของ Swander Pace เพื่อช่วยขยายภาพลักษณ์แบรนด์ให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะตลาด influencer และ digital wellness ที่กำลังเฟื่อง
ตรงนี้เองที่ข่าวลือเรื่อง “Bill Gates” เริ่มปะทุขึ้นในโซเชียล ว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องผ่านการลงทุนใน Apeel Sciences ซึ่งผลิตเคลือบผิวผลไม้และมีหุ้นร่วมกับกองทุนเดียวกับ Swander Pace ข่าวลือนี้ถูกแชร์ซ้ำในวงการสุขภาพทางเลือกทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่ต่อต้านอาหารสังเคราะห์และวัคซีน แม้การตรวจสอบตามหลักฐานจากฐานข้อมูลการเงินและรายงานของ Reuters พบว่า ยังไม่มีข้อมูลใดที่ยืนยันว่า Bill Gates หรือ Apeel ถือหุ้นใน Bragg Live Food Products โดยตรง แต่ความเชื่อมโยงเดียวคือ “กองทุนระดับเดียวกัน” ที่เคยร่วมลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปในโลก private equity
เมื่อ Patricia Bragg เสียชีวิตในปี 2023 (ตามประกาศอย่างไม่เป็นทางการจากเครือข่าย Bragg Foundation) ตำนานก็ถึงจุดปิดฉากในเชิงบุคคล แต่ในเชิงธุรกิจ Bragg กำลังเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์แบรนด์ ปี 2024–2025 มีรายงานจาก Bloomberg ว่า Swander Pace กำลังพิจารณาขายกิจการอีกครั้ง โดยมีมูลค่าตลาดคาดว่าจะเกิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลุ่มทุนใหม่ที่สนใจคือบริษัทที่มีเครือข่ายกับอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก เช่น Unilever และ Nestlé Health Science
ในแง่หนึ่ง Bragg Live Food Products ได้กลายเป็นร่มเงาของ “Narrative Health Brand” อย่างสมบูรณ์ สินค้าที่เคยเป็นของหมักพื้นบ้าน กลายเป็นสินทรัพย์ในระบบทุนสุขภาพระดับโลกเกินกว่ามูลค่าในตัวมันเอง ในอีกแง่หนึ่ง มันยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธาสำหรับคนจำนวนมากที่เชื่อในพลังธรรมชาติ แต่ระหว่าง “ความเชื่อ” กับ “ความจริง” เส้นแบ่งบางลงเรื่อย ๆ
Bragg เริ่มจากครอบครัวหนึ่งที่เชื่อในพลังธรรมชาติ แต่จบลงในมือของระบบทุนที่เชื่อในมูลค่าตลาด จาก “Live Food” สู่ “Living Asset” ACV จึงไม่ได้เป็นแค่เครื่องดื่มหมัก แต่คือเครื่องหมายของยุคที่ศรัทธาในสุขภาพถูกแปลงเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ
