fbpx

เรื่องนี้เกิดจากเพื่อนหลายคน inbox มาถามเรื่องไซเลี่ยมฮัสค์ เราก็สงสัยว่าทำไมมาถามพร้อมๆกัน มันเกิดฮิตอะไรขึ้นมา เลยไปไถติกตอกตามลายแทง พบว่า อีกแล้วครับท่าน โฆษณาเกินจริงอีกแล้ว ข่าวร้ายคือเกินจริงไปเกินเบอร์มาก ข่าวดีคือ ไถไป 20คลิป เจอแบบนี้แค่ 2 คลิป เรียกว่าใครซวยเจอ 2 คลิปนี้แล้วเชื่อก็ซวยไป

ในคลิปเขาบอกว่า สามารถชงกินได้ทั้งวัน กินไปเรื่อยๆ สิ่งนี้จะไปดักจับไขมันที่เรากินเข้าไป ทำให้ไม่ย่อยแล้วถ่ายออกมา ทำให้เรากินของทอดของมันได้ไม่อั้น ยิ่งดื่มไซเลี่ยมฮัสค์มากเท่าไร ก็ยิ่งเอ็นจอยการกินได้มากเท่านั้น อ่านถึงตรงนี้ สาวกไซเลี่ยมฮัสค์คงอุทานว่า บ้า ใครจะไปเชื่อ ใครจะไปกินแบบนั้น

ผมต้องบอกตามตรงว่า โลกใบนี้มันมีคนเชื่อสื่อแบบไม่คิดอะไรเลย หรือคิดไปเองมโนไปเอง เยอะมากครับ ใช้คำว่าบนโลกใบนี้ เพราะมันไม่จำกัดเฉพาะประเทศไทย

งั้นเราลองมาดูเคสที่เคยเกิดขึ้นกันครับ อันนี้ไม่ใช่วิจัยอะไรนะครับ เป็นแค่บันทึกเคสที่เคยเกิดขึ้นในโรงพยาบาล

เคสแรก

ผู้ป่วยหญิงวัย 48 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องแบบบิดรุนแรงมานานถึง 18 ชั่วโมง อาการดังกล่าวทำให้เธอไม่สามารถขับถ่ายได้ แต่อาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ไข้ หรือหายใจลำบาก กลับไม่มีเลย

จากการซักประวัติ พบว่าผู้ป่วยรายนี้มีนิสัยกินผงไฟเบอร์ชนิดหนึ่งชื่อ ไซเลียมเป็นประจำ โดยจะกินทุกวัน วันละ 1-1.5ช้อนโต๊ะ แต่ละครั้งจะละลายน้ำน้อยมากๆ ซึ่งน้อยกว่าคำแนะนำการใช้งานมาก

เมื่อตรวจร่างกายและส่งตรวจเพิ่มเติม แพทย์พบว่าลำไส้เล็กขยาย มีการอุดตันที่ลำไส้เล็กส่วนกลาง มีก้อนเนื้อแข็งที่ส่วนกลางของลำไส้เล็กส่วนต้น เกิดจากการแข็งตัวของสารที่มีส่วนประกอบของไซเลี่ยมในทางเดินอาหาร จากนั้นจึงได้นำผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดแบบส่องกล้องทางหน้าท้อง ในขณะผ่าตัด แพทย์ได้ใช้เครื่องมือผ่าตัดกระทุ้งทำลายก้อนดังกล่าวออกให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยไม่ต้องผ่าตัดลำไส้ออก ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับฟื้นสภาพและออกจากโรงพยาบาลได้ 

สาเหตุของการเกิดก้อนแข็งอุดตันในลำไส้เล็กในกรณีนี้ มาจากการที่ผู้ป่วยกินผงละลายไซเลียม บ่อยเกินไป โดยไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ ทั้งขณะที่กิน รวมถึงทั้งวันก็ดื่มน้ำไม่มากเพียงพอ จนทำให้ผงดังกล่าวจับตัวแข็งและก่อตัวเป็นก้อนในทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก

จากประสบการณ์ของแพทย์ผู้รักษารายนี้ ท่านเสนอว่าการรักษาด้วยวิธีทำลายและกระจายก้อนออกโดยไม่ต้องผ่าตัดลำไส้ เพราะลำไส้ยังไม่ถึงขั้นเสียหายจากการอุดตันรุนแรง เพื่อลดความเสี่ยงและการบาดเจ็บจากการผ่าตัด แต่ถ้าปล่อยจนเกิดการอุดตันรุนแรง อาจต้องทำการผ่าลำไส้ออก

อีกเคส

ผู้ป่วย เป็นวัยรุ่น อายุ22ปี เขาหลงใหล้ในเรื่องสุขภาพ ด้วยการศึกษาโภชนาการ และอ่านบทความในอินเทอร์เน็ต เขาคิดว่า สิ่งที่ทำให้เขามีปัญหาสุขภาพเช่น ปัญหาการแพ้ต่างๆ, ปวดหัว ไมเกรน และนอนไม่หลับ นั่นเพราะลำไส้ของเขาสกปรก เขาต้องล้างลำไส้ โฆษณาในอินเตอร์เนทบอกว่าเขาต้องได้รับใยอาหาร 25-30กรัมต่อวัน ในขณะที่เขาได้รับเพียง 15กรัมต่อวันเท่ากับที่ในโฆษณาบอกไว้เลยว่าคนอเมริกันได้ประมาณนั้น 

เขาคิดแล้วคิดอีก จริงอยู่ที่ว่าเขาชอบกินธัญพืช ผลไม้ เพราะมีไฟเบอร์ แต่เขารู้สึกว่ามันไม่พอ แถมยังคิดต่อเองได้ว่า ที่ผ่านมาเขาขาดไฟเบอร์ไปมาก จึงต้องทำการกินชดเชยที่ขาดหายไปด้วยในทันที ต่อไปนี้เขาจะดีทอกลำไส้ตัวเอง จึงซื้อผงไซเลี่ยมฮัสค์ มาชงกิน ในตอนแรกเขาชงไซเลียมฮัสค์ 1ช้อน กับน้ำ มันทำให้เขารู้สึกดีมากๆ รู้สึกลำไส้สะอาด รู้สึกสุขภาพดี

จนวันนึง เขาบอกกับตัวเองว่า พร้อมละ สำหรับการดีทอก เขาใช้ไซเลียมฮัสค์ 30 สคูปผสมกับน้ำ 2ลิตร มันออกมาเป็นลักษณะเจลลี่ เขาเลยค่อยๆเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไป เวลาผ่านไปเขารู้สึกว่าท้องแน่นขึ้น อิ่มแบบไม่ต้องกินข้าวเย็น แน่นอนว่าเขารู้สึกดี เพราะจะได้ผอมด้วย 

ไม่นานนัก ตอนนั่งมองไฟเบอร์นี้อยู่ เขาคิดว่าเห้ยมันเป็นเจลลีมีกลิ่นมีรสส้มหอมอร่อย ก็เลยจัดเมนู แซนวิชเนยถั่วเจลลีไฟเบอร์ (แหม่ PBJ ชิดซ้าย) กินเป็นมื้อดึก พร้อมความภาคภูมิใจว่า ลำไส้เขาจะสะอาดที่สุด นี่คือการดีทอกซ์ที่อ่านมาแล้ว อแดปเองเพื่อให้ได้รับไฟเบอร์ให้มากที่สุด มันจะดีที่สุด 

แต่แล้ว ความจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีที่บริเวณช่วงบนของท้อง ก็เลยดื่มน้ำเพิ่มเพื่อหวังว่าจะไปละลายไอ้เจลลี่นั่นให้เจือจางลง 

เช้าวันรุ่งขึ้น เขายังรู้สึกแน่นท้อง ก็เลยเข้าเนทหาข้อมูล ได้ความว่า นี่เป็นขั้นตอนปกติ มันต้องใช้เวลาในการจับของเสียที่ค้างในร่างกายมาหลายปี เช้าและกลางวันเขากินอาหารได้นิดหน่อย ก่อนที่ตอนเย็นจะมาจัดการเติมเจลลี่ไซเลี่ยมฮัสค์เพิ่มไปอีก เพราะคิดเอาเองว่า มันจะได้ดันของเก่าลงไปตามลำไส้ ตอนนี้มันอาจจะไม่ลงไปเอง เขาทำแบบนี้ต่อเนื่องหลายวัน แต่ละวันเขาก็กินอาหารได้น้อยลงทุกที ในใจยังคิดดีใจว่า นอกจากได้ล้างลำไส้แล้วจะยังผอมด้วยเพราะเขากินได้น้อยลงแต่ยังอิ่มจุก

จนถึงวันที่ 10 เขาเริ่มทนไม่ได้ เขากินอะไรไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่ดื่มน้ำก็ไม่สามารถทำได้ มีอาการแสบคอเหมือนโดนไฟเผา แต่เขายังอดทนเพราะมั่นใจว่าร่างกายต้องใช้เวลาในการดีทอก จนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้หลังจากที่ลองกดท้องดูแล้วพบว่ามีของเหลวไหลขึ้นมาทางลำคอรสขมเกินธรรมชาติ เขาจึงตัดสินใจลองไปเข้าห้องน้ำ ปรากฎว่าไม่สามารถถ่ายหนักได้ ปวดร้อนในช่องคอ จนในที่สุดต้องเรียก 911 เพื่อไปห้องฉุกเฉินในทันที

แพทย์สรุปว่า ปัญหาในเคสนี้คือ เมื่อไซเลี่ยมฮัสค์กลายเป็นเจลลี่แล้ว การเพิ่มน้ำเข้าไปจะไม่ช่วยให้มันละลายหรือแตกตัว เพราะเมื่อเป็นสภาพเจลลี่แล้วแม้แต่การเอามือบีบแรงๆยังไม่สามารถทำให้แตกตัวได้เลย ในระบบทางเดินอาหารยิ่งไม่แข็งแรงเท่ามือ ไซเลี่ยมฮัสค์จึงทำการขยายตัว ไม่ละลาย และอุดตันในที่สุด 

ในเคสนี้แพทย์ไม่สามารถตัดเจลลี่ได้ทั้งหมด และเมื่อทำ CT scan แล้วพบว่ามีส่วนนึงของลำไส้ที่มีการขยายตัว จึงต้องทำการผ่าตัดแบบส่องกล้องเข้าไปตัดในส่วนที่อุดตันให้แตกออก พอที่จะถ่ายออกมาได้ แล้วเมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้น ทันทีที่ผู้ป่วยรายนี้เข้าพักฟื้นในห้องฟื้นฟู เขาก็ถ่ายอุจจาระออกมาจำนวนมาก มากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต จนแพทย์ต้องให้ยาผ่อนกระเพาะ 

ทีนี้เรามาทำความรู้จักไซเลี่ยมฮัสค์กันครับ

ไซเลี่ยมฮัสค์สกัดมาจากเมล็ดไซเลียม ฮัสค์ หรือในชื่อไทยเรียกอีกชื่อว่า เทียนเกล็ดหอย พบมากที่อินเดียในชื่อต้น Plantago ovata หรือ Ispaghula ประกอบด้วยไฟเบอร์ 2 ชนิดในตัวเพียวกัน คือ ไฟเบอร์แบบที่ละลายน้ำได้ 70% (Soluble Fiber) และแบบที่ละลายน้ำไม่ได้ 30% (Insoluble Fiber) แถมยังมีแร่ธาตุด้วย ทั้ง แคลเซียม เหล็ก โพแทสเซียม

ไซเลี่ยมฮัสค์ มีความสามารถในการดูดซับน้ำได้มาก เมื่อจับกับอาหาร ของเหลวจะถูกดูดซึมในลำไส้มากขึ้น ทำให้มีการเพิ่มปริมาณอุจจาระ การกินไซเลี่ยมฮัสค์จึงต้องปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการดื่มน้ำและปริมาณไซเลี่ยมฮัสค์.

กระบวนการผลิตไซเลียมฮัสค์ เมล็ดไซเลี่ยมดิบจะถูกทำความสะอาดด้วยกระบวนการทางกลผ่านขั้นตอนต่างๆ ของการแปรรูปโดยไม่ใช้สารเคมี จากนั้นก็ทำการร่อนเปลือกนอกออกแล้วใช้เครื่องดูดอากาศดูดเปลือกที่ลอยฟุ้งออกไป เหลือแค่ ไซเลี่ยมฮัสค์แบบสมบูรณ์ จากนั้นจึงจำไปบดละเอียด เพื่อเตรียมบรรจุในขั้นตอนสุดท้าย

แล้วเราจำเป็นต้องกินไซเลี่ยมฮัสค์ไหม?

เรื่องนี้ต้องตั้งคำถามขึ้นมาก่อนว่า เราจะกินไซเลี่ยมฮัสค์เพื่ออะไร เมื่อมีคำถามว่าเพื่ออะไร เราก็ต้องมาดูคุณประโยชน์ของมันก่อนเป็นอันดับแรก ไซเลี่ยมฮัสค์เป็นไฟเบอร์ ธรรมชาติของไฟเบอร์คือ ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ เรามาไล่ตามที่ได้ยินมานะครับ คือ

ลดความดัน ลดไขมัน ควบคุมน้ำหนัก ป้องกันเบาหวาน

ในหมวดนี้ตัวไฟเบอร์เองไม่ได้มีคุณสมบัติทางตรงในเรื่องนี้ เพียงแต่ช่วยในเรื่องการอิ่ม หนักท้อง ทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง พอกินได้น้อยลง ก็ทำให้น้ำหนักลง พอน้ำหนักลง ความดัน ไขมัน รวมถึงสิ่งที่ก่อให้เกิด NCD ก็ลดลงตามไป แต่กระนั้น การกินน้อยลงไม่ใช่ความยั่งยืน เพราะหากสารอาหารไม่เพียงพอ ร่างกายจะปรับลดระบบการทำงานลง เพื่อใช้พลังงานน้อยลงเนื่องจากมันคิดว่าเข้าสู่ภาวะอดอยาก สงคราม หรือภัยธรรมชาติใดๆที่ทำให้โลกมีอาหารน้อยลง และเมื่อไรที่เรากินมากขึ้น ร่างกายก็จะเร่งเก็บสะสม เพราะไม่มั่นใจว่า จะอดอยากอีกเมื่อไร ในจุดนี้ ถ้าเราต้องการใช้คุณประโยชน์นี้ของไซเลี่ยมฮัสค์ เราก็ต้องเข้าใจกลไกทั้งหมด คือเราใช้เป็นตัวช่วยได้ แต่ต้องเข้าใจว่ามันไม่ได้เทพขนาดว่ากินแล้วจะไม่ป่วย เรียกง่ายๆว่าต้องใช้เป็น ทั้งปริมาณ ทั้งการทำความเข้าใจว่า สารอาหารที่ครบถ้วนประกอบด้วยอะไรบ้าง มันจะมีประโยชน์ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เรากินเกินเบอร์ ป้องกันอาการห่าลงได้ หรือที่ผมเรียกว่า ชูชกลิซึ่ม แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้ไซเลี่ยมฮัสค์ในการทำให้เราไม่ต้องกินอาหาร เรียกว่า หน้ามือกับหลังเท้าเลยนะครับ 

ดักจับไขมัน ชะลอการดูดซึมน้ำตาล ชะลอการ spike อินซุลิน

ไฟเบอร์กับการชะลอการดูดซึม เป็นของคู๋กันมานานแล้วครับ ไม่เฉพาะไซเลี่ยมฮัสค์ จุดขายของไฟเบอร์ที่คนเอามาขายตรงนี้ก็มีมานาน ถามว่าจริงไหม ก็มีส่วนจริงอยู่เพราะเรามองในเรื่องความเร็ว แต่ถ้ามองในเรื่องปริมาณ ระบบการย่อยของร่างกาย ไม่ได้โง่ขนาดที่ว่า อ๋อ มีไฟเบอร์มาซุกน้ำตาล งั้นเราไม่ย่อยมันดีกว่า ร่างกายไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ ไฟเบอร์อาจช่วยในการป้องกันการพุ่งสุงในระยะเวลาสั้นๆได้ แต่น้ำตาลที่กินเข้าไปร่างกายมันก็ย่อยอยู่ดีครับ มันก็แค่แยกไฟเบอร์ออกไปไม่ย่อย เรียกว่ากินไป 100 มันก็ดูดซึมไปเกือบ 100 นั่นแหละครับ แค่คอยๆจิบ โอเค อินซุลินอาจไม่ได้พุ่งเต็มขีด แต่ก็พุ่ง แค่พุ่งน้อยลงนิดนึง ส่วน “ปริมาณ” น้ำตาลที่เข้าร่างกาย มันไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และถ้าเกินกว่าร่างกายต้องการมันก็สะสมเป็นไขมันอยู่ดี 

ทีนี้มันอาจไปสัมพันธ์กับข้อแรก คือ ความอิ่มจุกขณะกิน อาจชะลอการซัดโฮกของคุณได้ มันก็เลยเข้าใจไปว่า ไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายไม่ย่อยน้ำตาลไปด้วย ซึ่งมายาของ 2 คุณสมบัตินี้ มันทำให้คุณคิดไปเองได้ในแบบนั้น ดังนั้น คำแนะนำคือ อย่าใช้เป็นเครื่องมือในการลักไก่อินซุลิน และ ไม่ใช่เครื่องมือลดน้ำตาลจากอาหารที่คุณกิน

เป็นอาหารของโพรไบโอติกส์

อันนี้ถูกต้องเลยครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะไซเลี่ยมฮัสค์ ที่จะเป็นอาหารโพรไบโอติกส์ จะต้องขยายออกมาว่า ไฟเบอร์ เป็นอาหารโพรไบโอติกส์ แล้วไซเลี่ยมฮัสค์เป็น 1ในไม่รู้กี่พันสปีชียส์ของพืช ที่เป็นไฟเบอร์ ผักทุกชนิดมีไฟเบอร์และมีคุณสมบัติเป็นอาหารของโพรไบโอติกส์ แต่ แต่ แต่ มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรเช่นกันที่จะต้องอัดผักมากๆ หรือ อัดไซเลี่ยมฮัสค์เยอะๆ เพื่อหวังว่าจะเป็นอาหารโพรไบโอติกส์เยอะๆ คือเราไม่ต้องไปขุนมันครับ ลำพังการกินอาหารหลากหลาย มีผัก “บ้าง” โพรไบโอติกส์มันก็อิ่มหนำดีแล้ว ไม่ต้องไปขุน จุลินทรีย์ไม่ได้โลภเหมือนมนุษย์ กินแบบ “พอเหมาะ” จุลินทรีย์ก็ทำงานได้ดีแล้วครับ มันคือ “ทางสายกลาง” อย่างแท้จริงที่คนชอบอ้างๆกันไง พูดแต่ไม่ค่อยจะทำกันหรือเปล่า ต้องลองคิดดู 

ช่วยการขับถ่าย ให้มีปริมาณอุจจาระมาก

เรื่องนี้น่าจะเป็นจุดใหญ่ที่คนชอบไฟเบอร์ เราลำดับประมาณนี้ครับ ถึงตรงนี้เรารู้แล้วว่า ร่างกายไม่ย่อยไฟเบอร์ ดังนั้นแน่นอนว่า สิ่งที่เข้าปาก ไหลลงท้อง แล้วไม่ย่อยนั้นมันก็ต้องออกทางลำไส้ใหญ่ เป็นเรื่องปกติ เจ้าปริมาณอุจจาระ ก็คือปริมาณที่ไฟเบอร์ไม่ได้ย่อย เข้าทางปากออกทางทวารหนัก เป็นสมการปกติเลยครับ 100-0=100 เข้า 100 ไม่ดูดซึมเลย ก็ต้องออกไป 100 

คำถามที่ต้องตั้งคือ เรากังวลกับปริมาณอุจจาระใช่ไหม นี่เรากำลังดีใจกับปริมาณของที่ไม่ได้ย่อย ไม่ได้ดูดซึมไปใช้ประโยชน์อยู่จริงๆหรือ

คำถามนี้ต้องย้อนไปที่การทำความเข้าใจ อุจจาระ กันก่อน (แหม่วันนี้พูดเพราะ) 

วิกิพีเดีย บอกว่า อุจจาระ (คำอื่น ๆ เช่น มูล, อึ, ขี้) คือ กากอาหารที่เหลือจากการย่อยจากระบบทางเดินอาหารของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ โดยจะถ่ายออกทางทวารหนัก หลังจากที่สัตว์ตัวหนึ่งได้ย่อยอาหารที่กินเข้าไป มักจะเหลือส่วนหนึ่งที่ระบบทางเดินอาหารไม่สามารถดูดซึมได้และจะกลายเป็นอุจจาระหรือมูลสัตว์ แต่ถึงกระนั้นอุจจาระอาจจะยังคงมีพลังงานหลงเหลืออยู่ (ขอตัดเรื่อง เปอร์เซนต์ออก เพราะทำให้นิยามผูกมัดเกินไป) นั่นหมายความว่าอาหารทุกอย่างที่สัตว์กินเข้าไป จะมีพลังงานส่วนหนึ่งหลงเหลือมาให้กับผู้ย่อยสลายในระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิตหลายชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ในอุจจาระ ตั้งแต่แบคทีเรีย เห็ดรา หรือแม้แต่แมลง

ใน ดิกชินนารี นิยาม ของ สถาบัน National Cancer Institute บอกว่า 

Feces or Poo : The material in a bowel movement. Feces is made up of undigested food, bacteria, mucus, and cells from the lining of the intestines. Also called stool.

อาหารใดๆที่เหลือจากการย่อย แบ่งได้เป็นหลายเหตุผล ตั้งแต่ มากเกินจะย่อยทันหมด ไปจนถึงย่อยไม่ได้ ดังนั้นเราไม่สามารถกำหนดกะเกณฑ์ได้ว่า ในวันนึง มนุษย์ควรอุจจาระกี่ครั้ง หรือ รูปทรง “จะต้อง” เป็นยังไง ชุดความรู้เหล่านี้เราเรียกว่า สเตอริโอไทป์ คล้ายๆกับการบอกว่า เจองูเจอแขกให้ตีแขกเพราะเขี้ยว, คนอ้วนเป็นคนรวย, หรือแม้แต่ คนเราต้องกิน 1500แคล ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ เป็นสิ่งที่ปักเจก มัน depend on หรือ อินดี้นั่นแหละครับ เราจะไปตั้งตัวเลขให้กับมนุษย์ทั้งโลกไม่ได้ มันไม่ใช่โปรแกรมคอม 

เราลองมาดูนิยามของอุจจาระ จะพบว่า ปัจจัยของอุจจาระมันอยู่ที่อาหารที่กิน ทั้งคุณภาพ ปริมาณ และ ประเภท นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกอีก ไม่ว่าจะสภาพร่างกาย สภาพอากาศขณะนั้น ถ้าให้สมการเพื่อมองภาพคร่าวๆ จะได้เป็น

อาหารที่กิน – อาหารที่ดูดซึม = ปริมาณอุจจาระที่ออกมา

คนที่ 1 ร่างกายต้องการซ่อมแซม แล้วกินอาหารคุณภาพดี ปริมาณเหมาะสม อาจเป็น 100-95=5 หรือพูดง่ายๆว่า ออกมาตุ๊บเดียวเล็กๆ ก็เป็นได้

คนที่ 2 ร่างกายต้องการซ่อมแซม แล้วกินอาหารที่สารอาหารต่ำกลัวไม่คีโต กลัวอ้วน ไฟเบอร์เขาว่าดี เลยกินอาหารเช่นบุก 2ถุง หมูแดง 4ชิ้น อาจะเป็น 100-5=95 หรือพูดง่ายๆ มันดูดซึมไปแค่ส่วนของหมูแดง แล้วก็ถ่ายอุจจาระบุกออกมา สวย ก้อนกล้วย ให้คุณภูมิใจว่า ไฟเบอร์สุขภาพดี

พอเห็นภาพไหมครับ แล้วคิดว่าคนที่1 หรือ คนที่2 มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพที่ดีกว่ากัน คำตอบคือยังฟันธงไม่ได้แน่ๆว่าใครจะดีกว่าในปลายทาง แต่คนที่1 มีแนวโน้มที่ดีว่า เพราะสุขภาพที่ดีอยู่ที่สารอาหารที่ครบถ้วน ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณอุจจาระที่ออกมา 

คำถามคือเราต้องนอยด์กับการที่อุจจาระไม่เต็มลำไส้จนต้องออกมาเป็นรูปทรงลำไส้หรือเปล่า จากกลไกของมันก็ต้องตอบว่าไม่ควรนอยด์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องหมั่นสังเกตใดๆเลย อาทิเช่น เรากินดี ออกกำลังดี ตากแดดดี นอนดี ดื่มน้ำดี แร่ธาตุถึง แต่เล่นไม่อุจจาระออกมาเลยถึง 7วัน 14วัน มันก็ต้องมาดูแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับเราไหม วิเคราะห์เป็นจุดๆไป 

เห็นไหมครับว่า ในชีวิตจริงๆมันไม่ต้องไปนอยด์อะไรแต่ก็ไม่ควรจะปล่อยจอย ไม่สนใจอะไรเลยเช่นกัน รวมเป็นคำเดียวได้ครับว่า ใช้ชีวิตอย่างมีสติ 

สติทำให้เราอยู่กับเหตุผล พอเราอยู่กับเหตุผล เราก็จะค่อยๆไล่ลำดับ ตรวจสอบ ก่อนที่จะเชื่อสิ่งใดๆ ที่โฆษณาให้เราเชื่อ หรือที่เรียกว่า don’t trust, verify นั่นเอง

สรุป ไซเลี่ยมฮัสค์ ไม่ได้เป็นอาหารเทพโอสถทิพย์ แต่ตัวมันเอง มีดีพอทีจะสร้างประโยชน์ได้ ถ้าใช้เป็น กินให้เป็นอาหารโพรไบโอติกส์ได้ กินแล้วช่วยด้านจิตใจเวลาเห็นอุจจาระก้อนใหญ่ๆได้ เรียกง่ายๆว่า จัดในหมวด ซัพพลีเมนท์ อย่างนึง ซัพพลีเม้นท์ ชื่อก็บอกแล้วว่าเสริม เป็นตัวเสริมเล็กๆน้อยๆ ตามจริตและร่างกายแต่ละคนไป เรียกว่ากินเป็นให้คุณ กินไม่เป็นให้โทษ 

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่กินวิตามินเม็ด อาหารเสริม เป็นอาหารหลัก คุณต้องพิจารณาตัวเองใหม่ครับ ตั้งสติให้ดี ไล่ลำดับเหตุผลในการใช้ชีวิตให้ดี

บอกเสมอๆว่า อาหารมันไม่ค่อยผิด ไม่ค่อยเลวหรอก แต่คนกินนี่แหละตัวปัญหาของทุกเรื่อง เขาจะขายยังไงถ้าคนกินศึกษาเรียนรู้ ไม่สักแต่จะเชื่อ “เขา” คนกินก็จะไม่เพลี่ยงพล้ำครับ

สำคัญสุดเหนืออื่นใด อย่าแก้ไขเรื่องสุขภาพแค่ด้วยความคิดว่า ต้องกินอะไร สุขภาพมันมาจากองค์รวมอีกมากมาย เลิกคำถามที่ว่า เป็นอย่างนี้กินอะไรถึงจะหาย แล้วถามว่า เป็นอย่างนี้แล้วควรทำยังไงถึงจะหาย

Don’t Trust, verify 

โต้งเอง บุคคลที่พยายามเล่าเรื่องที่คนไม่รู้เรื่อง ให้รู้เรื่อง แม้บางทีคนที่อยากให้รู้เรื่อง จะอ่าน/ฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็ตาม