fbpx

เพลง นอกจากจะฟังเพื่อความบันเทิงแล้ว เพลงยังเป็นเสมือนกับบันทึกเหตุการณ์ บันทึกสภาพสังคม ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ลงในบทเพลงด้วย หลายครั้งพอเราได้ยินเพลงก็ทำให้หวนนึกถึงอดีตหรือเรื่องราวในยุคนั้น

เช่น เพลงบันทึกหน้าสุดท้าย ของพี่เบิร์ด เพลงไดอารี่สีแดง ของพี่แหวน ทำให้เรารู้ว่าสมัยนั้นคนนิยมเขียนบันทึกกัน

บันทึกหน้าสุดท้าย

หรือเพลงของเจเจตรินที่ใน MV มีการเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือ ในเนื้อเพลงก็มีคำว่าโทรหาได้ไหม

อยากให้รู้ว่าเหงา – เจ เจตริน

หรือเพลงคาราวาน เพลงคาราบาวที่พูดถึงการเมือง บางทีก็ใส่ชื่อคนเข้าไปด้วย เพลงก็กลายเป็นบันทึกเหตุการณ์ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ไปโดยปริยาย

เพลงจะสื่อถึงยุคต่าง ๆ  เช่นศัพท์บางคำ มีหลายคำที่เราพูดกันแต่รุ่นลูกไม่รู้จัก เช่น คำว่า “เฮฟวี่” ที่แปลว่า เจ๋งมาก

หรือสลับกัน เด็กรุ่นใหม่พูดคำศัพท์ใหม่ขึ้นมา รุ่นเราฟังแล้วก็งง เช่น คำว่า “เท” คำว่า “ปุยมุ้ย” ที่มาจากคำว่า ไปมั้ย ทำให้คำมันดูน่ารักมากขึ้น

เกินปุยมุ้ย (aww) – เอ้ย จิรัช

หลายครั้งคำฮิตที่ใช้พูดกันก็กลายไปเป็นเพลง หลายครั้งคำในเพลงก็กลายมาเป็นคำฮิต

เช่น คำว่า “ส้มหล่น” ถ้าตามความหมายของเพลงวงไมโครคืออยู่ดี ๆ ก็ได้อะไรมาโดยที่ไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นก็ขยายวงกว้างออกมาโดยคุณพิษณุ นิลกลัด เอาคำนี้ไปใช้ในการพากย์กีฬา เช่น นักเตะแย่งบอลกันแล้วจู่ ๆ บอลกระดอนไปหานักเตะอีกคนที่วิ่งมาแล้วก็เลี้ยงไปยิงประตูเลย ก็ใช้คำว่าส้มหล่น แล้วต่อมาคนก็เอาคำนี้มาใช้กันทั่วไป

ส้มหล่น

ย้อนไปเก่ากว่านั้น เช่น คำว่า “เช็คบิล” ที่หมายความว่าจัดการ จากเพลงเช็คบิล ของคุณสิวะ แตรสังข์ เพลงนี้ดังช่วงปี 2532

เช็คบิล สิวะ แตรสังข์ 2532

ในการแต่งเพลง บางทีก็มีการเอาคำที่วัยรุ่นพูดมาใส่ในเพลง ปัจจุบันก็ยังมีการแต่งเพลงแบบนี้อยู่ 

ถ้าอย่างที่โต้งรู้จักคนแต่งก็จะเป็น เพลงไม่บังเอิญ ของพี่ต้อ กุลวัฒน์ พรหมสถิต

ไม่บังเอิญ – กุลวัฒน์ พรหมสถิต

เพลง รู้ยัง แต่งโดยคุณแอ้ม เพลงนี้ฮิตเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว วัยรุ่นก็เอาคำนี้มาใช้

รู้ยัง – ต้น ธนษิต

อย่าง เพลงนายแม้น พี่ปอนด์ ธนา ลวสุต ไฮดร้า กับพี่ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์ มันมีคำว่า “แห้ว” คือจีบไม่ติด วืด 

พอหาในเน็ต คำว่าแห้วนี่มี 2 กระแส บ้างก็ว่ามาจากเพลงนี้ บ้างก็ว่ามาจากตัวละครในพล นิกร กิมหงวน คือเป็นคนรับใช้ชื่อนายแห้ว ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง

พอไม่แน่ใจว่าคำว่า “แห้ว” มันมาจากไหนแน่ โต้งในฐานะที่รู้จักกับพี่ปอนด์ ก็เลยลองถามพี่ปอนด์คนที่แต่งเพลงนี้ดูเลย ซึ่งอัลบั้มนั้น ที่ปกเทปมีเขียนไว้เพียงว่า ขอบคุณนายแม้นที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลง ส่วนคำว่าแห้วเป็นคำที่มีคนใช้มาก่อนหน้านั้นแล้ว ความหมายคือ วืด ไม่สมหวัง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า แห้ว เป็นคำมาก่อนแล้วค่อยมาเป็นเพลง

และความหมายที่ว่า วืด ไม่สมหวังนี้เอง มันก็ทำให้ผลไม้ที่ชื่อแห้วต้องเปลี่ยนมาเป็นชื่อสมหวังด้วย

** update เพิ่มเติมว่าหลังจากนั้นพี่ปอนด์ก็เอาเรื่องนี้ไปลงใน tiktok ด้วยเช่นกัน กดดูได้ที่นี่

หรืออย่างคำว่า “พลิกล็อค” เป็นคำที่ไม่ได้มีอยู่แล้ว แต่เป็นคำที่ใช้ในเพลงแล้วคนก็เอามาใช้พูดกัน มาจากเพลง พลิกล็อค ของคริสติน่า อากีล่าร์

พลิกล็อค – คริสติน่า อากีล่าร์ 

คำว่า “สุดสุดไปเลย” เพลงของนูโว สมัยนี้กร่อนคำเหลือเเค่ สุด ๆ

สุด สุดไปเลย – นูโว

คำว่า “เด๊ดสะมอเร่” มาจากเพลงต่างประเทศ That’s amore คุณเทิ่ง สติเฟื่อง ที่เอามาใช้

Dean Martin – That’s Amore

พอพูดถึงคำจากเพลงเก่า ๆ ก็ทำให้เรานึกถึงอดีต ซึ่งโมเมนต์คิดถึงอดีตนี่เดี๋ยวน้อง ๆ ในรุ่นนี้ก็จะได้สัมผัสในอีก 10 ปีข้างหน้า เพราะคำใหม่ ๆ มันก็ออกมาเรื่อย ๆ ทุกวัน ในอีก 10 ปีข้างหน้า คำว่า ปุยมุ้ย อาจจะเก่าไปแล้วก็ได้

สาว  ๆ  ที่อยากจะเริ่มออกกำลังกาย ต้องทำอย่างไร 

ถ้าย้อนไปตอนเด็ก วิชาพลศึกษานี่เด็กผู้ชายจะชอบ เด็กผู้หญิงจะไม่ค่อยชอบ มีแค่สัก 10% ของเพื่อนผู้หญิงในห้องที่ชอบวิชานี้ แต่พอเราเริ่มโตขึ้น พอเราอยากจะออกกำลังกายมันก็เลยเริ่มยากเพราะมาเริ่มตอนโตแล้ว

จริง ๆ เราออกกำลังกายไม่ใช่เพื่อความเป็นเลิศ ไม่ใช่ต้องวิ่งให้เร็ว กล้ามเนื้อต้องใหญ่โต ต้องวิ่งมาราธอนอันนั้นเป็นเรื่องของการฝึกฝนที่หนัก เป็นเรื่องของนักกีฬา

จริง ๆ เรื่องของการออกกำลังกายในชีวิตประจำวันนี่เพื่อทำให้ร่างกายเราได้ใช้แรง ได้กลับมาอยู่ในสภาพที่มนุษย์ควรจะเป็น

ย้อนไปแค่สักร้อยปีที่แล้ว สมัยรัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์ คนจะไม่ชวนกันไปออกกำลังกายหรือไปยิมหรือไปเต้นซุมบ้า แต่เขาจะมีกิจกรรมอื่น ๆ ทำซึ่งมันเป็นกิจกรรมที่ใช้แรงกาย เช่น จะทำกับข้าวก็ต้องไปหาฟืน ตัดฟืน ไปเอาน้ำ หาบน้ำเดินมา 2 กิโลเมตร ผู้ชายทำสวนทำไร่ ผู้หญิงเดินเก็บผัก ตักน้ำ

การออกกำลังกายในปัจจุบันมันก็คือการทดแทนกิจกรรมที่ขาดหายไปจากอดีต 

อย่างการเดินปกติธรรมดานี่เราก็ขาดไปเยอะ เช้าขับรถไปทำงาน นั่งออฟฟิศ เย็นขับรถกลับบ้าน ดูหนังฟังเพลง นอน  เดินน้อยลงเยอะ

เดี๋ยวนี้มีนาฬิกาจับการเดิน 8,000 – 10,000 ก้าว ระยะทางจริง ๆ ก็เเค่ 4 กิโลเมตรเอง ถ้าเราเน้นเดินจริงจังให้ได้จำนวนก้าวเท่านี้ก็จะใช้เวลาแค่ 40 นาทีเท่านั้น

แฟนพี่หนึ่งก็ทำ ตื่นตี 4 ครึ่ง เดินหมู่บ้าน 2 รอบ ได้ 4 กิโลเมตร

ถ้าอยากลดต้นแขนก็เอาขวดน้ำ 1.5 ลิตร มายกก็ได้ หรือวิดพื้นแบบตั้งเข่า หรือวิดกับผนัง  หรือสควอท นั่งยองแล้วลุกขึ้น วันละ 10-20 ทีก็ได้ คือให้เริ่มง่าย ๆ  หรือเปิด YouTube ทำตามคลิปเขาไป บางช่องอาจจะยากหน่อย เช่น เบเบ้ มันก็ดูได้ เราทำตามเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำเท่าเขา ทำเท่าที่เราไหว ตามเขาแค่ท่ากับความเร็วก็พอ ทำวันละ 10-15 นาที ทำเป็นประจำ แค่นี้ก็ได้สุขภาพแล้ว

ของที่เราไม่เคยทำ แรก ๆ จะเหนื่อยหน่อย แนะนำว่าเริ่มทำไปเรื่อย ๆ พอเราทำไปสักพักหนึ่ง ประสิทธิภาพของร่างกายเราจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง เราจะทำได้มากขึ้น ได้ดีขึ้น ได้หนักขึ้นไปเองโดยปริยาย ร่างกายจะมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ สามารถที่จะเพิ่มความหนัก ความเร็ว ความแรงได้ 

ตัวอย่างที่ว่ามานี้สามารถทำได้ทั้งหญิงชายเลย

อย่างผู้ชาย การทำ Pull up กับบาร์โหนหรือกิ่งไม้ สำหรับคนไม่เคยฝึกเลย ครั้งเดียวทำไม่ได้มันก็ไม่แปลก อย่างพี่หนึ่งเองแม้ตอนเด็ก ๆ ทำได้ แต่พอทิ้งไปเป็น 10 ปี 15 ปี ตอนโตจะมาทำใหม่มันทำไม่ได้ ต้องอาศัยการฝึกฝน ไม่ต้องไปคิดว่าจะทำได้ภายในกี่เดือน แค่คิดว่าค่อย ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ ได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น

วิธีช่วยผ่อนแรงในการ Pull up คือเอาเก้าอี้มารอง เอาขาแตะเพื่อช่วยผ่อนแรงให้ไม่ต้องขึ้นสุดลงสุด มันก็พอช่วยได้ในระยะเริ่มต้น

พี่หนึ่งฝึกทำไปเรื่อย ๆ จน Pull up ขึ้นบาร์ ครั้งแรกได้ตอนอายุ 46 นั่นคือหลังจากการฝึกประมาณ 4-5 ปีกว่าจะทำได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ มันเป็นสกิลที่ต้องฝึกต่อเนื่องยาวนาน กว่าจะทำครั้งแรกได้มันใช้ ถึงตอนนี้อายุ 52 แล้วก็ยังทำได้แต่ไม่ได้ทำเป็น 10 ทีเหมือนวัยรุ่น

การออกกำลังกายเป็นการพัฒนาที่ค่อย ๆ ทำ ไม่ใช่วันแรกทำได้เลย เราเห็นคนอื่นตอนที่เขาทำได้แล้ว แต่เราไม่เห็นตอนที่เขาใช้เวลาฝึกมา ไม่ต้องคาดหวังจะไปถึงระดับของเขา แค่เราเริ่มก็ดีแล้ว

อาจจะเริ่มแค่เราเดินในแต่ละวันก่อน ไม่ต้องนับก้าวก็ได้ แค่เราเดินให้มากกว่าเดิม ขอแค่วันละครึ่งชั่วโมงในการออกไปเดิน อาจจะไม่ต้องนับเป๊ะอะไรมาก แค่เดินรอบหมู่บ้านก็โอเคแล้ว หาเวลาให้ตัวเองในการเดิน ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองไปทำในสิ่งที่คนอื่นเขาว่าดีทุกวัน มันแล้วแต่ละสไตล์ อย่างน้อยเราอาจจะแค่ตั้งเป้าหมายว่า 1 อาทิตย์เราเดิน 2 ครั้ง เข้ายิม 1 ครั้ง เท่านี้ก็โอเคแล้ว

เรื่องการฝึกอะไรบ้าง ท่าทางในการฝึก โปรแกรมในการฝึก เรื่องนี้ก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ไป เอาเท่าที่ตัวเองทำได้แต่ก็อาจจะต้องปรึกษาคนที่เป็นผู้รู้มาวิเคราะห์ด้วย ปรึกษาคนที่ผ่านการอบรมมา

เทรนเนอร์บางคนบอกว่าเราต้องออกกำลังกายเต็มที่เลย ต้องมายิมอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ทำโปรแกรมเต็มที่เลย แต่เป้าหมายเราไม่ได้จะไปประกวดหรืออะไรขนาดนั้น

ถ้าเทรนเนอร์ที่ดีเขาต้องรู้ว่าจุดประสงค์ของคนที่เดินมาหาเขานี่เพื่ออะไร ถ้าลูกเทรนเป็นมือใหม่ก็แค่จัดท่าทางให้มันถูกต้อง ใช้น้ำหนักที่ไม่หนักมากนัก ป้องกันการบาดเจ็บ เป็น Total body workout คือ Workout ทุกส่วน เป็นโปรแกรมสำหรับคนเริ่มต้น

แต่ถ้าเป็นเทรนเนอร์ที่ไม่ได้ผ่านการอบรมมา บางทีลูกเทรนมาถึงก็จัดโปรแกรมจัดเต็มให้เลย ไม่เหนื่อยไม่ปล่อยกลับ บางคนมาครั้งแรก เทรนเนอร์ไม่ทำ Physical Test ไม่ทำ Fitness Test แล้วลูกเทรนเสียชีวิตในขั้นแรกเลยก็มี

เรื่องโปรแกรมออกกำลังกายนี่ต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน เทรนเนอร์ต้องผ่านการอบรมในการให้บริการลูกเทรน เรื่องความปลอดภัยเป็นที่ 1 ในการที่เราจะออกแบบโปรแกรม ต้องทำ Physical Test, Fitness Test ถ้าเทรนเนอร์ที่ไม่เคยผ่านการอบรมมา ใช้วิธีครูพักลักจำเอาแล้วมาฝึกลูกเทรนที่เขาเป็นโรคหัวใจ เป็นโรคความดัน เป็นโรคต่าง ๆ ไปฝึกเขาหนักเกินไป บางทีก็อาจจะต้องหามลูกเทรนส่งโรงพยาบาล

คนที่จะออกกำลังกายก็ต้องดูตัวเองว่าไหวแค่ไหน เอาเท่าที่เราไหวไปก่อน

เลือกคลิปหรือวีดีโอที่ท่ามันไม่ยากเกินไป ถ้ามี Personal Trainer ก็ให้เขาช่วยเราในเรื่องของการปรับท่าทางที่ถูกต้อง เพราะว่าถ้าท่าทางเราไม่ถูกแล้วเราไปใช้น้ำหนักผิดด้วย เราจะบาดเจ็บทั้งกล้ามเนื้อทั้งข้อต่อ มันอันตรายเหมือนกันถ้าเราไม่เข้าใจมันจริง ๆ ควรเริ่มจากน้ำหนักเบา ๆ หรือว่าไม่ต้องมีน้ำหนักเลย เป็น Body weight training ไป

เช่น ท่า Air Squat ไม่มีน้ำหนักมาเพิ่ม ใช้น้ำหนักตัวเอง

วิดพื้นก็ไม่ได้ใช้ลูกน้ำหนักอะไร

หรือว่า Pull up ก็ใช้น้ำหนักตัวเอง ถ้าเกิดเรามีสกิลมากขึ้น มันก็มี Weight Vests เป็นลูกเหล็กในเสื้อประมาณ 10-20 กิโลกรัม เราก็อัพไป ท่าทางเดิมแต่น้ำหนักเพิ่มขึ้น

หรือการเดิน คนที่ชอบเดิน เดินจนการเดินธรรมดาไม่ท้าทายแล้วเขาก็เริ่มจ๊อกกิ้งก็ได้ อย่างนักกีฬานี่ตอนเขาจ๊อกกิ้งเขาเอาลูกน้ำหนักไปถ่วงที่เท้าก็มี มีขายทั่วไป เป็นถุงทรายใส่ที่เท้าแล้วก็วิ่ง หรือง่าย ๆ คือไปหาเป้มาใส่ขวดน้ำก็ได้

คนเรามักมีข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย เช่น เพราะว่าไม่มียิม ไม่ได้เป็นสมาชิกยิม ไม่มีอุปกรณ์ เหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้าง บางคนซื้ออุปกรณ์มาเต็มบ้านแต่ไม่ออกกำลังกายก็มี เอาอุปกรณ์ออกกำลังกายไปใช้ตากผ้า

ประเด็นมันอยู่ที่ใจเราอย่างเดียว ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้ใช้ใจอะไรมากด้วย เราเพียงเสริมกิจกรรมการเดิน การออกกำลังกายเบา ๆ เข้าไปในชีวิตประจำวัน มันไม่ได้หนักหนา เอาเป็นว่าอย่าขี้เกียจ การทำเรื่องพวกนี้มันก็เพื่อทำให้ร่างกายเรากลับมาเป็นปกติแค่นั้นเอง

ปู่ย่าตายายเราไม่มียิมแต่ร่างกายก็สุขภาพแข็งแรงเพราะอาหารสมัยก่อนมันไม่ใช่ Processed Food มันเป็นอาหารธรรมชาติ แล้วเขามีกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ใช้กำลังกาย ส่วนคนเราสมัยนี้กลายเป็นว่ากินอาหารก็ไม่ดี กินได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีร้านสะดวกซื้อ กิจกรรมที่ใช้กำลังกายก็มีน้อย

มาปรับ Mindset กันใหม่ โลกทุกวันนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น มันทำให้เรามีเวลามากขึ้น เราควรจะแชร์เวลาพวกนั้นไปออกกำลังกายด้วยก็จะดีกว่า เราเดินทางเร็วขึ้น ทำอาหารเร็วขึ้น ทุกอย่างเร็วขึ้นหมดเลย เพราะฉะนั้นเราจะมีเวลามากกว่าคนยุคก่อนตั้งเยอะ เราจัดเวลามาออกกำลังกายบ้างก็ดี

อยากเป็นกำลังใจให้ ถ้าเราเพิ่มกิจกรรมให้ร่างกายเราได้ออกกำลังมากขึ้น มันจะทำให้ร่างกายเราไม่เสื่อมสภาพเร็วจนเกินไป ทุกคนก็มีเกิดแก่เจ็บตายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเราละเลยเรื่องพวกนี้มันก็อาจจะแก่เร็วขึ้น เจ็บเร็วขึ้น สุดท้ายก็ตายเร็วขึ้น หรือถ้าตายช้าแต่ระหว่างนั้นเจ็บนานยิ่งทรมานหนักเลย

เรื่องนี้มันก็เป็น Vision ของเราอันหนึ่งที่จะมาพูดคุย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ฟังของเราสนใจในเรื่องของร่างกายตัวเองมากขึ้น กินดีก็ต้องออกกำลังกายให้เหมาะสม ไม่ต้องออกกำลังกายหนักแต่ให้เหมาะสม

การนอนก็สำคัญสุด ๆ เหมือนกัน ยิ่งคนสมัยนี้มีสิ่งรบกวนเยอะ บางทีดูมือถือก่อนนอนมากเกินไปก็หลับยาก

บางคนหลีกเลี่ยงแสงแดด ไม่ค่อยโดนแดดก็หลับยาก

มีหลายเรื่องที่เราสามารถปรับปรุงการใช้ชีวิตเราด้วยเทคนิคง่าย ๆ ได้อย่างแสงแดด ออกไปก็เจอ มันฟรีอยู่แล้ว เราไปหลีกเลี่ยงมันเอง ถ้าเราไปโดนแดดสม่ำเสมอ สุขภาพเราก็จะดีมากขึ้น

อย่างเรื่องของ Hot – Cold therapy ที่คุยไปตอนที่แล้วมันก็เอามาเสริมได้

เรื่องออกกำลังกาย ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เพศไหนก็ได้ ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ก็อยากจะแนะนำว่าให้เริ่ม เริ่มด้วยกิจกรรมง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร อยู่ที่ตัวเราเองเท่านั้นเอง ให้เริ่มทำ

โต้งเอง บุคคลที่พยายามเล่าเรื่องที่คนไม่รู้เรื่อง ให้รู้เรื่อง แม้บางทีคนที่อยากให้รู้เรื่อง จะอ่าน/ฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็ตาม